ปริศนาเคียงดาว (หงส์หยก)

0 รีวิว  0 รีวิว    
รหัสสินค้า: 9789749335239
ของหมด (ต้องการสินค้า)
ราคา: 379.00 บาท 94.75 บาท
ประหยัด: 284.25 บาท ( 75.00% )

เนื้อหาบางส่วน

ตอน1

 ประกายรัศมีระยิบระยับของทรายขาว แวววาวเจิดจรัสเป็นผืนราบทอดยาวไกลสุดลูกหูลูกตา ผสมผสานคงความเฉพาะตัวของชายหาดได้อย่างกลมกลืน เสียงคลื่นสาดซัด กระทบซอกหินที่ยื่นย้อยออกมาเล่นระดับ ม้วนตัวเป็นระลอกน้ำถอยลู่ลงสู่ท้องทะเลอย่างเป็นจังหวะจะโคน

 บริเวณรอบๆ ชายหาดโอบล้อมด้วยเทือกเขายาวโค้งเป็นครึ่งวงกลม มีธารน้ำตกจากภูเขาที่ไหลเป็นทางยาวลงสู่ทะเล มนต์เสน่ห์แห่งขุนเขากับความลงตัวในแบบฉบับของธรรมชาติ จัดสรรค์มาไว้รวมกันได้อย่างสมบูรณ์แบบ กลายเป็นสิ่งมหัศจรรย์บนเนื้อที่กว่าร้อยไร่ของ “เกาะเคียงดาว”

ถัดจากชายหาดเข้าไปประมาณห้าร้อยเมตร มีคฤหาสน์หรูตั้งตระหง่านอวดความโดดเด่นแข่งกับทัศนียภาพของหาด ชาวบ้านระแวกนั้นรู้จักกันในนาม  “คฤหาสน์พราวฝัน”

เสียงกิ่งไม้ขนาดเล็กกำลังฟาดลงที่กองทรายเปาะแปะเป็นจังหวะ  ก่อนจะค่อยๆ ลดความถี่ลง กระทั่งหยุดนิ่งในที่สุด เด็กชายตัวน้อยวัย 10 ขวบทอดสายตายาวไกลออกไปสู่ท้องทะเลเบื้องหน้าอย่างเหงาๆ ไม่ทันระวังก็มีลูกบอลขนาดเล็กหล่นลงมากระแทกกองทรายตรงหน้า ทำเอาเด็กน้อยสะดุ้งตกใจ หันมองไปตามทิศทางที่ลูกบอลลอยละลิ่วมาเมื่อครู่

 “ขอโทษนะ โยนเลยมาไม่ทันระวัง”

 เด็กผู้หญิงตัวน้อยยืนยิ้ม ดูจากลักษณะน่าจะอ่อนกว่าเด็กชายเมื่อครู่สองสามปีเห็นจะได้ บริเวณศีรษะผูกแกละสองข้าง ติดโบห้อยต่องแต่งเกือบจะหลุด เนื่องจากวิ่งตามหาลูกบอลมาทางนั้น

“เป็นเด็กผู้หญิงเล่นลูกบอลด้วยเหรอ” อีกฝ่ายถามขึ้นพร้อมกับส่งยิ้มให้ ก่อนจะช่วยเก็บลูกบอลส่งคืนเจ้าของ

 “ฉันชอบเล่นบอล แม่บอกเสมอว่าฉันเล่นอะไรไม่เหมือนเด็กผู้หญิง ไปเล่นด้วยกันมั้ย เพื่อนฉันอีกสองสามคนอยู่ทางโน้น”

เด็กชายเงียบเหมือนลังเล ใจหนึ่งอยากไปเล่นด้วยอยู่มากโข แต่อีกใจก็ไม่กล้า

 “ไปเถอะ เล่นคนเดียวเหงาตาย” พูดพลางวิ่งเข้ามาจูงมือ “บ้านอยู่แถวนี้เหรอ”

 “ใช่ บ้านฉันอยู่แถวนี้ แล้วเธอล่ะ”

 “ก็เหมือนกันนั่นแหละ ไปเถอะ เพื่อนๆ ฉันกำลังรออยู่” เด็กหญิงตัวน้อยดึงมือเพื่อนใหม่ที่โมเมรวบรัดเอายามนั้นให้วิ่งตามกันไป

 กลุ่มเด็กๆ ผู้ชายอีกสามสี่คนกำลังยืนรอกันอยู่ริมชายหาด พอได้ลูกบอลกลับมาก็ลงมือเล่นกันต่ออย่างสนุกสนาน ยิ่งได้เพื่อนใหม่เข้าไปก็ดูเหมือนจะทำให้ความสนุกสนานมีมากขึ้น

เวลาผ่านไปกระทั่งเหยียบเย็นแล้วกระแสลมค่อยๆ เปลี่ยนทิศทางจากบกลงสู่ทะเล เด็กๆ ยังวิ่งเล่นกันอย่างสนุกสนานเพลิดเพลิน

 “ปาจรีย์...ปาจรีย์ กลับบ้านเถอะลูก เย็นแล้ว”

 การละเล่นหยุดชะงักลง เมื่อเห็นว่าเป็นจริงตามคำบอกของแม่ เจ้าของชื่อหันมาทางเด็กชายเพื่อนใหม่ที่พามารวมกลุ่มด้วยว่า

 “แม่ฉันมาตาม ฉันคงต้องกลับแล้วล่ะ วันหลังมาเล่นกันใหม่นะ”

 “ตกลง ฉันสนุกมากเลย”

 “ไปล่ะนะ” ปาจรีย์เตรียมจะวิ่งไปหาแม่

 “เดี๋ยว เธอชื่ออะไร เมื่อกี้แม่เธอเรียกได้ยินไม่ค่อยถนัด”

 “เอาไปคิดเป็นการบ้าน พรุ่งนี้จะมาบอก” เด็กน้อยวิ่งปรื๋อออกไปทันทีไม่ทันมองว่าโบติดผมของตัวเองหล่นอยู่

 เด็กชายดังกล่าวก้มลงเก็บโบสีชมพูขึ้นมาถือไว้อย่างพิจารณา

                                              ************

สิบห้าปีผ่านไป.....

“คุณท่าน คุณท่านเจ้าขา คุณท่าน” เสียงร้องเรียกด้วยความตกใจของหญิงวัย 50 เศษดังขึ้นลั่นคฤหาสน์

 บรรดาสาวใช้ในละแวกนั้นที่ได้ยิน ต่างทิ้งงานในมือกรูกันวิ่งเข้ามาที่ห้องรับแขกเพื่อหาต้นกำเนิดของเสียง ป้าแสงแขเร่งฝีเท้าลงมาจากบันไดด้วยความรีบร้อน

 “เกิดอะไรขึ้นเหรอป้าแสงแข” ลำดวนสาวใช้หน้าตาตื่นถามขึ้นก่อนใคร

 “ช่วยกันขึ้นไปดูคุณท่านหน่อย อยู่ๆ ก็ฟุบไป” น้ำเสียงป้าแสงแขเร่งเร้า ก่อนจะเป็นฝ่ายสาวเท้านำกลับขึ้นไปทางบันได ตามด้วยสาวใช้อีกสี่ห้าคนที่ก้าวตามไปติดๆ

บริเวณหน้าห้องใหญ่ยามนี้ มีเสียงร้องไห้ดังเล็ดลอดออกมาจากด้านใน เนื่องจากไม่ได้ปิดสนิดนัก คละเคล้ากับเสียงแหบพร่าที่ดูเหน็ดเหนื่อยเต็มทีของคุณลิมปพัฒน์

 “อย่าร้องไห้ไปเลยสีตลา ซักวันหนึ่ง ฉันก็ต้องมีวันนี้ ฉันทนต่อต้านกับมันมานาน”

 สีตลาบอกเสียงเครือทั้งน้ำตาว่า “ไม่ คุณท่าน ต้องไม่เป็นอะไร คุณท่านต้องอยู่เป็นร่มโพธิ์ร่มไทรของเหล่าบริวารทั้งหลาย คุณท่านต้องหายนะคะ” สีตลาบีบมือลิมปพัฒน์เอาไว้แน่น

ประตูห้องถูกเปิดเข้ามาพร้อมกับป้าแสงแขและสาวใช้ ป้าแสงแขตรงเข้าไปที่ลิมปพัฒน์ ด้วยสายตาห่วงหาอาทรยิ่งนัก

 “คุณท่านฟื้นแล้ว คุณท่านหายแล้วใช่มั้ยคะ คุณท่านจะอยู่กับพวกอิฉันใช่มั้ยคะ”

สีตลาหันมาบอกเสียงเรียบ “พอฉันเขย่าเรียก หลังจากที่คุณท่านฟุบไป คุณท่านก็ลืมตาขึ้นแล้วก็บอกให้ฉันพาไปนอนบนเตียง ฉันว่าตามหมอดีกว่า”

 ลิมปพัฒน์ยกมือห้าม “อย่า” เขาไอออกมาสองสามครั้ง “ฉันรู้เวลาของฉันดี” ลิมปพัฒน์หันมาทางป้าแสงแขเชิงสั่งเสีย “ในฐานะที่ป้าดูแลความเรียบร้อยของบ้าน และห่วงใยใส่ใจฉันมาตลอด ฉัน..ฉันขอร้องไม่ให้ป้าไปไหน หลังจากไม่มีฉันแล้วก็อยู่ซะที่นี่ ฉันจะถือว่าป้าเป็นเสมือนญาติของเราคนหนึ่ง อีกอย่าง...ป้าช่วยติดต่อเจ้าวิศรุตให้มันกลับมาดูแลกิจการ และบอกพี่หญิงไฉไล ช่วยดูแลเรื่องการเปิดพินัยกรรมของฉันด้วย” ลิมปพัฒน์หันไปทางสีตลา “ส่วน...เธอ กับลูก..ฉันอนุญาตให้อยู่ต่อที่นี่ได้ ทุกสิ่งทุกอย่างจะบ่งบอกเอาไว้ในพินัยกรรมแล้ว เธอจะได้ส่วนแบ่งสมกับหน้าที่ที่เธอดูแลฉันด้วยดีตลอดมา”

 สีตลาร้องไห้หนักเข้าไปอีก ขณะที่ส่วนลึกภายในใจหวังเป็นอย่างยิ่งว่าสิ่งที่เธอจะได้มา จากการเปิดพินัยกรรม น่าจะมากมายอยู่ไม่น้อย เพราะตลอดระยะเวลาของการเข้ามาดูแลอาการลิมปพัฒน์ในฐานะพยาบาลส่วนตัว เธอก็กลายเป็นทุกสิ่งทุกอย่างของเขา แม้จะมีลูกติดมาด้วยถึงสองคนก็ตาม

 ยังไม่ทันมีใครพูดอะไรขึ้นมาต่อ เสียงแผดจ้าของไฉไลก็ดังเข้ามา “บ้านนี้เมืองนี้มันไม่มีคนอยู่กันซักคนหรือไง ฉันเรียกหาตั้งนานดันมาออกันอยู่ที่นี่ซะหมด” พูดพลางก้าวฉับๆ เข้ามาในห้อง พร้อมกับกราดสายตามองไปยังทุกคน แสดงพลังอำนาจ ด้วยนิสัยเจ้าระเบียบเลือดร้อนอยู่เป็นทุน

 ป้าแสงแขหันมาปรามด้วยสายตา ก่อนจะยอมเสียมารยาทบอกผู้เป็นนายขึ้นอย่างเกรงๆ ว่า “คุณไฉไลคะ กรุณาเถอะค่ะ คุณท่านกำลังไม่สบายมาก”

 ไฉไลชะงัก ลดอาการเมื่อครู่ลง “อะไรนะ” เธอเดินเข้ามาที่เตียงของลิมปพัฒน์ เหมือนจะเข้าใจว่าบรรดาสาวใช้ทั้งหลายหายเข้ามาที่นี่กันทำไม

 “ตาพัฒน์ นี่อย่าบอกนะว่าแกกำลังจะ...แก..ตาพัฒน์ แกต้องไม่เป็นอะไร นะ” ไฉไลปล่อยร้องไห้โฮออกมาเสียงดังลั่น ก่อนจะหันมาเกรี้ยวกราดเอากับคนรอบข้าง โดยเฉพาะสีตลา

 “นังสีตลา แกดูตาพัฒน์ยังไง ถึงปล่อยให้ท่านแย่ขนาดนี้ แล้วทำไมไม่มีใครตามหมอ คนเจ็บขนาดนี้ นี่แกดีใจใช่ไหมที่ตาพัฒน์จะตาย แกนี่มันเหมือนกับที่ฉันคิดเอาไว้ไม่มีผิด...” ยังไม่ทันจะด่าต่อ ป้าแสงแขก็บอกขึ้นอย่างเหลืออด

 “พอเถอะค่ะคุณไฉไล กรุณาเถอะค่ะ คุณท่านกำลังแย่ อย่าเพิ่งขุดคุ้ยอะไรกันตอนนี้เลยค่ะ นึกว่าเห็นแก่คนเจ็บเถอะค่ะ”

 ทุกคนในนั้นเงียบ เห็นจริงดังคำพูดของป้าแสงแข พร้อมกับนิ่งฟังความเป็นไปที่ป้าแสงแขกำลังลำดับเหตุการณ์

 “คุณท่านบอกให้คุณสีตลาลงไปเอาผลไม้ในห้องครัว ดิฉันกำลังจะเข้ามาเรียนคุณท่านเรื่องคณะทัวร์จากญี่ปุ่น ที่บอกเลิกไป พอดีเห็นคุณท่านกำลังฟุบอยู่ก็เลยรีบวิ่งลงไปหาคนช่วย พอดีคุณสีตลาขึ้นมาก่อนก็เลยประคองคุณท่านนอนที่เตียง คุณท่านขอร้องไม่ให้ติดต่อหมอ” ป้าแสงแขร้องไห้ไปพูดไป

“พี่..ไฉไล..” น้ำเสียงลิมปพัฒน์อ่อนแรงเต็มที

“ตาพัฒน์” ไฉไลปรี่มาจับมือน้องชายเอาไว้พลางเช็ดน้ำตาที่ไหลออกมาเป็นระยะๆ

“พี่เป็นผู้ใหญ่ของที่นี่ ช่วยดูแลความเรียบร้อยภายในบ้านแทนฉัน ฝาก...ฝาก..ตารุตด้วย” น้ำเสียงลิมปพัฒน์สั้นลงตรงช่วงท้าย มือที่เกาะกุมพี่สาวเอาไว้ตกลงข้างตัว

“ตาพัฒน์...ฮือ...” ไฉไลโอบซบลงกับตัวน้องชายร้องไห้เสียงดังลั่น “ตาพัฒน์!…”

 ทุกคนในห้องนั้นต่างพากันร้องไห้เสียใจกับการจากไปของลิมปพัฒน์ ไฉไลค่อยๆ จับมือน้องชายมาประสานกันที่อก ความรู้สึกหดหู่แทรกเบียดเข้ามาเป็นระยะๆ ครู่หนึ่งก็ค่อยๆ ลุกขึ้นเช็ดน้ำตา หันมาเผชิญหน้ากับสีตลา ด้วยสายตาดุดันแข็งกร้าวอยู่ในที

 “คงสาสมใจของเธอแล้วสินะ”

 สีตลาจ้องหน้าไฉไลกลับไปอย่างไม่เกรงกลัว “ดิฉันว่าคุณพี่เองก็ดีใจไม่น้อยไปกว่าดิฉัน”

 “หยุดนะนังสีตลา น้องชายฉันทั้งคนฉันจะมาดีใจได้ยังไง เธอกล้าดียังไง มาย้อนฉันแบบนี้จะไม่มีที่ซุกหัวนอนยังไม่รู้ตัว”

 “เสียใจค่ะ คุณท่านบอกเอาไว้ก่อนตาย ให้ฉันอยู่ในคฤหาสน์หลังนี้พร้อมกับลูกๆ ”

 ไฉไลชะงักหันมาทางป้าแสงเข “จริงเหรอป้า” เธอจ้องหน้ารอคำตอบ ที่ไม่คิดว่ามันเป็นความจริง

ความเกลียดชังสีตลา ไฉไลมีอยู่เป็นทุนหนา เพราะตั้งแต่สีตลาเหยียบย่างเข้ามาดูแลลิมปพัฒน์ด้วยโรคหัวใจ บทบาทความน่านับถือของคนทั้งบ้าน กลับกลายเลื่อนลงมาอยู่กับสีตลาอีกคน แทนที่จะเป็นไฉไลคนเดียว เนื่องจากสีตลาเลื่อนลำดับจากคนดูแลใกล้ชิดมาถึงขั้นมีความสัมพันธ์กับลิมปพัฒน์ในที่สุด

 ป้าแสงแขพยักหน้าแทนคำตอบไปทางไฉไล แววตาหม่นเศร้ากับการจากไปของลิมปพัฒน์มันเหมือนเป็นความสูญเสียสิ่งที่ป้าแสงแขรักและเคารพมาตลอดชีวิตของการได้เข้ามาอยู่ชายคาเดียวกันในคฤหาสน์

                                        **********

ลำดวนสาวใช้และเพื่อนๆ อีกสองสามคนในชุดดำ กำลังยืนทำกับข้าวกันอยู่ในครัว แต่ละคนมีสีหน้าเศร้าสร้อยตามกัน

 “คุณท่านไม่น่าด่วนจากเราไปเร็วขนาดนี้เลย” จิ้มลิ้มหญิงสาววัย 18 ออกความเห็นขึ้นมาก่อน

 “ทำไงได้ล่ะนังจิ้มลิ้ม คุณท่านก็เจ็บมานาน ท่านไปสบายแล้วล่ะ ต่อไปนี้ฉันว่าพวกเราเตรียมตั้งรับชะตากรรมกันเถอะ”

 “ทำไมล่ะพี่ลำดวน”

 “อ้าว ก็จะอะไรซะอีกล่ะ คราวนี้ไม่ว่าพี่สาว หรือแม่เมียคุณท่าน ก็จะแข่งกันใหญ่คับฟ้าน่ะสิ”

 จิ้มลิ้มทำท่านึกขึ้นมาได้ “จริงของพี่นะ ที่สำคัญ นังลูกสาวเปรี้ยวจี๊ดนั่นอีกคน ฉันเห็นวันๆ เอาแต่ขับรถแล่นกินลม ไม่เห็นทำอะไร” สีหน้าและท่าทางของเธอดูไม่ชอบเอามากๆ เมื่อพูดถึงลูกสาวสีตลา

 ลำดวนเอามือจุ๊ปากเชิงปราม “เบาๆ หน่อยสิวะจิ้มลิ้ม นินทานะโว้ย ไม่ใช่ประกาศ แยกแยะหน่อยสิ”

 จิ้มลิ้มเงียบลงอย่างเชื่อฟัง ลำดวนเป็นฝ่ายพูดขึ้นมาก่อนว่า “นังจิ้มลิ้มเอ๊ย ฉันก็คิดเหมือนกับแกนั่นแหละ ยิ่งลูกชายหัวแก้วหัวแหวนของคุณสีตลา ฉันว่ายิ่งกว่า รายนั้นทั้งเที่ยวทั้งใช้เงินมือเติบ”

 “พี่รู้ได้ยังไง แอบชอบเขาอยู่หรือเปล่า”

 “บ้า ฉันเห็นบ่อยไปที่คุณสีตลาเอาเงินให้ลูกเป็นฟ่อน เฮ้อ เมื่อไหร่จะมีแบบนั้นบ้างวะ ไม่ต้องทำอะไร ก็มีเงินใช้ไปวันๆ แถมอยู่อย่างโก้หรูอีกต่างหาก”

 จิ้มลิ้มระบายยิ้มก่อนจะกระซิบบอก “ฉันว่าถ้าพี่จะมีอย่างงั้นได้ คงต้องไปเกิดใหม่สถานเดียวแหละ”

 “นังจิ้มลิ้ม” ลำดวนทำตาโตเมื่อโดนว่า

 จิ้มลิ้มหัวเราะคิก ครู่หนึ่งก็หันซ้ายขวาเหมือนนึกอะไรขึ้นมาได้ “เออพี่ เขาลือกันว่าที่คฤหาสน์เนี่ยอาถรรพ์ พี่ว่าจริงมั้ย”

 “อะไรของแกวะนังจิ้มลิ้ม”

 “อ้าว ก็ป้านภา เพิ่งเสียไปไม่นาน ไม่รวมไปถึงพวกคนงานอีกสองสามคนที่หายหน้าไป แล้วคุณท่านก็มาเสียไปอีก พี่ว่ามันไม่แปลกเหรอ”

 ลำดวนครุ่นคิด รู้สึกเห็นด้วยกับสิ่งที่จิ้มลิ้มบอก แต่พยายามไม่แสดงความคิดโอนเอียงไปกับจิ้มลิ้ม

 “ไร้สาระน่านังจิ้มลิ้ม รีบทำงานเถอะ”

 “แล้วเมื่อวันก่อน ฉันเห็นญาติของป้านภาเขามาขอรับศพป้านภา จะเอาไปทำพิธี แต่ก็โดนคุณไฉไลไล่ตะเพิดกลับไป มันอะไรกันแน่พี่ลำดวน”

 “ฉันเห็นคุณไฉไลเขาก็ให้เงินไปก้อนหนึ่งไม่ใช่เหรอ ญาติเขาก็ไม่เอาเรื่องเอาราวอะไร”

 “ใครจะไปกล้ามีเรื่องกับคนของบ้านเจ้าสัวใหญ่ ที่กว้างขวางกับกิจการเดินเรือร่ำรวยมหาศาลแบบนี้ล่ะ”

 “เอ็งก็รู้ แล้วพูดทำไม”

 “เพียงแต่ฉันสงสัย ว่าศพของป้านภา หายไปไหน”

ป้าแสงแขเดินเข้ามาในห้องครัว พลางบอกเสียงเรียบ “นินทานายระวังจะไม่เจริญ มีหน้าที่ทำอะไรก็ทำไปเถอะ”

 ลำดวนและจิ้มลิ้มหน้าจ๋อยลง ป้าแสงแขกำลังเดินสำรวจดูกับข้าวที่ถูกจัดวางเอาไว้อย่างดี ระหว่างนั้นจิ้มลิ้มไม่วายสอบถามขึ้นเหมือนอยากรู้

 “เออ ป้า คุณวิศรุตจะกลับมาเมื่อไหร่”

 “อาทิตย์หน้า เห็นว่าจะกลับมาอยู่เลย”

 “ป่านนี้คงเป็นหนุ่ม หล่อ สมาร์ท เท่” จิ้มลิ้มทำท่าเพ้อฝัน

 ลำดวนเอามือเขกกะโหลกเข้าหนึ่งที “นี่แน่ะ”

 “อุ๊ย พี่ลำดวน มันเจ็บนะ ก็ฉันจะเพ้อฝันของฉันลมๆ แล้งๆ บ้างไม่ได้เหรอ”

 ป้าแสงแขหันมาปราม “ปล่อยจิ้มลิ้มมันเถอะลำดวน ตอนนี้ฉันเอง ก็อยากเห็นคุณหนูใจจะขาด ป่านนี้คง หายไปทำ ดร.เป็นปีแล้ว ฉันเองก็คิดถึงคุณหนู” ป้าแสงแขเริ่มหวนคิดถึงเรื่องราวในอดีต เมื่อครั้งที่วิศรุตยังเป็นเด็ก

วิศรุตในวัยเด็กวิ่งเล่นอยู่สนามหญ้าหน้าบ้าน อย่างสนุกสนานร่าเริง โดยมีป้าแสงแขคอยดูแลอย่างใกล้ชิด ดวงเนตรแม่ของวิศรุตยิ้มแย้มมองดูลูกชายอยู่ตรงโต๊ะม้าหิน ทันใดก็เกิดอาการหน้ามืดฟุบลง ป้าแสงแขวิ่งเข้าไปประคองสอบถามอย่างห่วงใย

 “คุณเนตรเป็นอะไรไปคะ”

 “ฉัน ฉันปวดหัวมาก ฉัน ทำไมตาฉันเบลอไปหมด” ดวงเนตรเริ่มตาพร่ามองไม่เห็นอะไร ก่อนจะแน่นิ่งเงียบไป

 แสงแขร้องเรียกให้คนมาช่วยด้วยความตกใจ วิศรุตวิ่งเข้ามาหาแม่ร้องไห้เรียกแม่แต่ไม่มีวี่แววว่าจะฟื้น

 “แม่ แม่ฮะ..แม่...” เด็กน้อยร้องไห้จ้า “แม่เป็นอะไรฮะ”

ป้าแสงแขโอบกอดวิศรุตเอาไว้ปลอบโยน และไม่วายเขย่าตัวเรียกดวงเนตรให้ฟื้นขึ้นมาด้วย

 ลำดวนหยิบช้อนมาวางใส่จาน พอละสายตาหันไปเห็นป้าแสงแขน้ำตาเอ่อจึงเขย่าตัวเรียกให้ตื่นจากภวังค์

 “เป็นอะไรไปจ้ะป้า”

 ป้าแสงแขรู้ตัว เอามือเช็ดน้ำตาก่อนจะบอกเลี่ยง  “เปล่า ไม่ได้เป็นอะไร เพียงแต่สงสารคุณรุต ตั้งแต่ไม่มีแม่ คุณรุตก็เงียบขรึมกลายเป็นเด็กเก็บกดมาตลอด”

 “จะไม่ให้เก็บกดยังไงล่ะป้า ก็คุณไฉไลดุจะตาย คุณท่านก็เอาแต่ทำงาน ไม่ค่อยมีเวลาใส่ใจ”

 “สาเหตุนี่แหละนะ ที่คุณรุตไม่อยากเข้ามายุ่งเกี่ยวกับกิจการของพ่อ”

 “ฉันว่ามีอีกสาเหตุหนึ่ง” จิ้มลิ้มแทรกขึ้น

 “อะไรลำดวน”

 “ป้าไม่เห็นเหรอ พอคุณท่านพาแม่พยาบาลนั่นเข้ามาอยู่ดูแลอาการ คุณรุตก็ขอไปเรียนต่อต่างประเทศทันที”

 “จริงของเอ็ง”

 “แล้วคุณวิศรุตกำหนดเดินทางมาถึงวันไหนจ้ะป้า” จิ้มลิ้มหันมาถามอีก

 “อังคารที่จะถึง เห็นคุณไฉไลบอกว่าจะเอาทนายมาเปิดพินัยกรรมวันนั้นเลย”

ลำดวนหันมาแปลกใจ  “อะไรกัน คุณท่านยังไม่ได้เผาเลยนะ”

 “คนละโมบ ยังไงก็มีความทะยานอยากได้ไม่จบสิ้น”

 ระหว่างการสนทนา นายแผ้วคนงานในสวนก็วิ่งเข้ามารายงานหน้าตาตื่น “ป้า...”

 ป้าแสงแขและลำดวนหันไปสนใจ

 “อะไรของแกไอ้แผ้ว”

 “เกิดเรื่องใหญ่ป้า”

 “เรื่องอะไรของเอ็ง รีบว่ามาเถอะ”

 “ศพคุณท่าน ศพคุณท่าน” ไอ้แผ้วบอกอย่างเหนื่อยหอบ

 ลำดวนและป้าแสงแขยิ่งอยากรู้เพิ่มขึ้น

 “ศพคุณท่านเป็นอะไรไอ้แผ้ว” ลำดวนถามเสียงดัง

 “ศพ ศพคุณท่านหายไป”

 “อะไรนะ!...” ป้าแสงแขและลำดวนหันมองหน้ากันด้วยความตกใจ

                                                 *********

 พื้นที่บริเวณเชิงเขา ถัดจากคฤหาสน์พราวฝันเป็นหมู่บ้านชาวประมง ความสมบูรณ์ของท้องทะเลและทรัพยากรธรรมชาติ ทำให้ชาวบ้านละแวกนั้นยังชีพการประมงพื้นบ้าน และทำสวนตามแนวราบเชิงเขา วันนี้ก็เช่นกัน ที่ลุงเจือลากอวนขึ้นมาตากริมชายหาด หลังจากสะบัดอวนขึงเอาไว้กับเสาได้ระดับดีแล้ว ลุงเจือจึงเดินกลับเข้าบ้านซึ่งอยู่ไม่ไกลจากริมหาดเท่าไหร่นัก

 บ้านลุงเจือซ่อนตัวอยู่ในอ้อมกอดของแมกไม้เขียวขจี ปลูกเป็นไม้ชั้นเดียวทั้งหลัง ตกแต่งประดับประดาด้วยวัสดุธรรมชาติตามแบบฉบับของลุงเจือเอง โต๊ะบางตัวยังมีรอยตะปูที่ตอกติดแบบเปะปะ อาศัยมันสมองศิลปะนิดๆ ของลุงเจือจัดแต่งให้มันออกมาดูดีเข้ากับมุมบ้านของแก

 “มีคนมา มีคนมา” เสียงนกแก้วจากกรงที่ห้อยอยู่หน้าบ้านเจื้อยแจ้วรายงาน

 ลุงเจือชะงักหันมามอง ก่อนจะเดินเข้าไปเอามือดีดนิ้วทักทาย

 “มีคนมา มีคนมา” เจ้าแก้วบอกซ้ำอีก

 เจ้าของบ้านเริ่มขมวดคิ้วฉงน

 “ใครกันล่ะเจ้าแก้ว”

 “คนสวย คนสวย”

 ลุงเจือระบายยิ้มน้อยๆ เมื่อเจ้าแก้วพูดแบบนั้น เนื่องจากคำพูดนี้มีเพียงผู้เดียวที่พร่ำสอนเจ้าแก้ว ตั้งแต่ครั้งแรกที่ลุงเจอเอามันมาเลี้ยง ลุงเจือเหลือบมองไปทางมุมต้นไม้หน้าบ้าน เห็นมีใครบางคนกำลังยืนหลบอยู่แถวนั้น

 “ออกมาเถอะปาจรีย์” ลุงเจือส่ายศีรษะไปมา

 หญิงสาวสวยใสในชุดกางเกงยีนเสื้อยืด กระแทกเท้าเดินออกมาจากที่ซ่อน เหลือบมองพ่อกระเง้ากระงอดที่รู้ทันทุกครั้ง

 “แกล้งๆ โง่บ้างก็ได้นะพ่อ รู้ทันไปซะหมดเลย”

 “อุบ๊ะ งั้นข้าจะเป็นพ่อเอ็งได้เหรอ”

 “จริงของพ่อ” ปาจรีย์เดินเข้ามากอดพ่อเอาไว้ด้วยความคิดถึง “คิดถึงพ่อที่สุดเลย”

 ลุงเจือเอามือลูบผมลูกสาว แววตาหม่นเศร้าลงเล็กน้อย อดไม่ได้ที่จะคิดถึงภรรยา

 “ถ้าแม่เอ็งอยู่ คงดีใจแบบนี้เหมือนกัน”

 ปาจรีย์น้ำตาเอ่อคลอ คำพูดของพ่อสะกิดความรู้สึก เธอผละออกมาจากพ่อเดินแยกไปนั่งเก้าอี้ใต้ต้นไม้หน้าบ้าน ลุงเจือก้าวตามไปนั่งใกล้ๆ กัน

“เอ็งจบปีนี้ใช่มั้ยเนี่ย”

 “ใช่พ่อ”

 “นี่ก็เตรียมทำงานแล้วสิ”

 “ยัง” ปาจรีย์บอกเสียงเรียบ พลางเหลือบมองหน้าพ่อด้วยสายตาตัดพ้ออยู่ในที “พ่อ ฉันถามจริงๆ เถอะ พ่อจะไม่เข้าไปถามเขาเหรอ ว่าแม่ตายเพราะอะไร”

 ลุงเจอถอนหายใจ “เฮ้อ ข้าก็บอกเอ็งไปกี่ครั้งแล้ว ว่าแม่เอ็งเขาหัวใจวายตาย”

 “พ่อก็เชื่องั้นเหรอ”

 “แล้วเอ็งจะให้ข้าทำยังไง เขาก็ให้เงินมาแล้วก้อนหนึ่ง แถมยังรับปากจัดการเรื่องศพให้เอง”

 “ถ้าฉันมีผัวแบบพ่อ ฉันตายจากไปซะดีกว่า”

 “เอ๊ะ นังนี่ ด่าข้าฉอดๆ นี่ข้าเป็นพ่อเอ็งนะ”

 “ก็มันจริงไหมล่ะ เมียตายทั้งคน เขาให้เงินมาก้อนหนึ่ง บอกว่าจะทำศพให้ พ่อก็ยอม ไม่เห็นแม้แต่ศพเมียที่อยู่ร่วมกันมาหลายสิบปี”

 “เอ็งก็รู้ เขาเป็นถึงเจ้าสัวใหญ่  อิทธิพลครอบคลุมละแวกนี้ เป็นถึงเจ้าของกิจการเดินเรือ ใครจะกล้าไปตามสืบถามเรื่องราว ไหนๆ แม่เอ็งแกตายไปแล้ว คิดซะว่าเขาทำบุญมาแค่นั้น”

 “เป็นเจ้าสัวใหญ่ แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าเขาจะใช้เงินฟาดหัวคนง่ายๆ แบบนี้ แล้วพ่อรู้มั้ย กว่าฉันจะมาที่นี่ได้ รอเหงือกแห้งอยู่ที่ท่าเรือตั้งนาน ไม่มีใครกล้าพาฉันมาที่เกาะนี้ เพราะเขาคิดว่าเป็นเกาะอาถรรพ์ กว่าฉันจะหว่านล้อมให้เด็กแถวนั้นมันมาส่งได้ เสียค่าเรือไปอีกเท่าตัว คนขับเรือมันเล่าว่าคฤหาสน์พราวฝัน เป็นคฤหาสน์เลือด เพราะมีคนงานหลายคนที่หายไป แต่ก็ไม่มีใครกล้าตามเข้าไปสืบเรื่อง แล้วล่าสุด เห็นมันบอกว่าเจ้าของคฤหาสน์ตายไปแล้ว”

 “บ้าน่า เอาอะไรมาพูด” ลุงเจือบอกอย่างไม่เต็มเสียงนัก

 “ไม่รู้ล่ะ ฉันว่ามันต้องมีอะไรไม่ชอบมาพากล และฉันก็ไม่ยอมให้แม่ตายไปเฉยๆหรอก”

 “อย่าบอกนะว่าเอ็งจะเข้าไปที่คฤหาสน์นั่น”

 “จุดหมายของฉันเลยล่ะพ่อ แต่จะเข้าไปด้วยวิธีไหนนี่สิ”

 ลุงเจือตกใจ “เฮ้ยนังปาจรีย์ เอ็งจะบ้าไปกันใหญ่แล้วนะเนี่ย ข้าส่งเอ็งไปเรียนพยาบาล เผื่อเวลาข้าเจ็บไข้จะได้พึ่งพาอาศัย ไม่ได้ส่งไปเรียนเป็นนักสืบ”

 “ไม่บ้าหรอกพ่อ”

 “หยุดเลย ข้าไม่ให้เอ็งเข้าไป”

 “ฉันจะไป”

 “ข้าไม่ให้เอ็งไป”

 “เอ๊ะพ่อ ฉันจะไปตามสืบเรื่องแม่ เมียของพ่อนะเนี่ย จะมาห้ามฉันทำไม”

 “เอ็งอย่ามาทำก๋ากั่นไปเลยน่า อยู่เฉยๆ ดีกว่า”

 “พ่อนั่นแหละ อยู่เฉยๆ ดีกว่า พ่อก็ทำงานของพ่อไป ฉันก็จะไปทำงานของฉัน” ปาจรีย์ยืนยัน

 “เมื่อไหร่แกจะเลิกระห่ำซะทีนะ”

 “ก็เพราะว่าฉันระห่ำน่ะสิ เลยกลัวว่าถ้าเป็นพยาบาล เดี๋ยวจะไปชำแหละศพคนไข้เอาเปล่าๆ เวลาโมโหขึ้นมา”

 “เลือดแม่แกนี่มันแรงจริงๆ”

 “ฉันว่าเลือดพ่อแรงมากกว่า”

 “เลือดข้าแรงยังไง”

 “ก็ไอ้ความระห่ำที่ฉันได้มาเนี่ย ก็จากพ่อทั้งดุ้นเลยแหละ” ปาจรีย์ยื่นหน้ายื่นตาบอก

“นังปาจรีย์!...” ลุงเจือทำท่าเงื้อมือจะฟาดกะโหลก แต่ปาจรีย์ผุดลุกขึ้นอย่างฉับไว

 “จ้างให้ก็ตีฉันไม่ทัน”

 สาวน้อยถอยหลังไปเหยียบเอาเปลือกกล้วยที่หล่นอยู่แถวนั้นล้มลงก้นกระแทกจ้ำเบ้า หน้าตาเหยเกด้วยความเจ็บ

 “อู๊ย...”

 เสียงเจ้าแก้วเจื้อยเจ้วขึ้นมาทันที

 “สมน้ำหน้า สมน้ำหน้า”

 ปาจรีย์ฉุนวูบ เดินเข้าไปชี้หน้าเจ้าแก้วอย่างเอาเรื่อง

 “ใครสอนให้ปากพล่อยแบบนี้นะเจ้าแก้ว ระวังเถอะ ยิ่งเบื่อๆ ปลาอยู่ เดี๋ยวพัดจับทำแกงนกซะเลย” บอกเสร็จก็เดินตึงๆ เข้าบ้านอย่างเสียอารมณ์

 ลุงเจือได้แต่ส่ายศีรษะมองตามลูกสาว “ซุ่มซ่ามล้มเองแล้วมาพาลเอากับนก นังลูกคนนี้ มันชักจะก้าวหน้าเป็นแม่ข้าขึ้นทุกวัน” ลุงเจือพึมพำก่อนจะมีท่าทีเศร้าลง “นภานะนภา ถ้าแกอยู่ทันเห็นลูกตอนนี้ แกจะรู้ว่าลูกเหมือนแกมากแค่ไหน วิญญาณแกคงเข้าใจ ว่าทำไมฉันถึงไม่เข้าไปตามเอาเรื่องเอาราวที่บ้านเจ้าสัว” ลุงเจือนิ่งเงียบ พลางนึกถึงเหตุการณ์ในอดีตเมื่อสองปีก่อน

 คราวนั้นลุงเจือและนภาบากหน้าเข้าไปหาลิมปพัฒน์ถึงคฤหาสน์ ด้วยความขัดสนเรื่องเงิน ที่จะเอามาส่งเสียให้ปาจรีย์ได้เรียนในระดับสูงๆ ลิมปพัฒน์หยิบยื่นความช่วยเหลือให้ลุงเจือด้วยเงินจำนวนมาก เนื่องจากเห็นว่าลุงเจือเป็นคนทำมาหากิน ไม่เคยตามทวงและไม่เคยแม้แต่จะคิดดอกเบี้ย แถมยังให้ลุงเจือเป็นคนอาสาพาลูกทัวร์ที่เข้ามาพัก ไปท่องเที่ยวตามสถานที่ต่างๆ  เป็นการหารายได้พิเศษ ลุงเจือไม่สามารถหาเงินมาใช้คืนลิมปพัฒน์ได้ตามสัญญา แต่ลิมปพัฒน์ก็ไม่ได้ติดใจถามไถ่ขอคืน

 “เอาไว้มีเมื่อไหร่ เอ็งค่อยเอามาให้ข้าแล้วกัน”

 ลุงเจือยกมือไหว้ขอบคุณลิมปพัฒน์อย่างซาบซึ้ง “กระผมจะพยายามหาเงินมาใช้เจ้าสัวให้เร็วที่สุด แต่ระหว่างนี้นภาจะอาสาเข้ามาช่วยงานที่คฤหาสน์ โดยไม่คิดค่าแรง”

 “เอางั้นเหรอ”

 นภาที่นั่งอยู่ข้างสามีเอ่ยบอก “จริงค่ะเจ้าสัว”

 “ดีเหมือนกัน ตอนนี้ที่นี่กำลังขาดคนครัว”

 สองสามีภรรยาหันมายิ้มให้กันอย่างดีใจ ที่มีส่วนทดแทนบุญคุณของลิมปพัฒน์บ้าง

 สามเดือนต่อจากนั้นลุงเจือก็ได้รับข่าวร้าย คนสวนที่คฤหาสน์วิ่งมาบอกลุงเจือว่านภาเสียชีวิต ลุงเจือตกใจรีบเดินทางไปยังคฤหาสน์ ถลาเข้ากอดนภาภรรยาเอาไว้อย่างเศร้าหมอง

 “ฉันเสียใจด้วยนะนายเจือ ฉันให้หมอเช็คดูแล้ว เขาบอกว่าแม่นภาหัวใจวายตาย”

ลุงเจือพยักหน้ารับบีบมือนภาเอาไว้แน่นด้วยความรัก “แม่นภา ทำไมจากฉันไปเร็วนัก”

 “ไม่ต้องห่วง แม่นภาตายในบ้านของฉัน ฉันจะรับผิดชอบเอง” ลิมปพัฒน์บอกเสียงเรียบ และไม่วายพาลุงเจือออกมาปลอบโยนอยู่บริเวณมุมหนึ่งของคฤหาสน์ “คิดซะว่าแม่นภาทำบุญมาแค่นี้”

“เดี๋ยวผมจะไปบอกเพื่อนบ้านให้มาเอาศพนภาไปทำพิธี”

 “รีบๆ ไปเถอะ เดี๋ยวจะมืดค่ำ” คุณลิมปพัฒน์บอก

 ลุงเจือรีบกลับออกไปจากคฤหาสน์อย่างเร่งรีบ เพื่อติดต่อบอกเพื่อนบ้านให้มารับศพนภาด้วยกัน พอกลับเข้ามาที่คฤหาสน์อีกทีก็เกือบพลบค่ำ สิ่งที่ทำให้ลุงเจือฉงนงุนงงยิ่งนักคือคนที่คฤหาสน์บอกว่าศพของนภาหายไปอย่างไร้ร่องรอย ลิมปพัฒน์แสดงความรับผิดชอบโดยการมอบเงินให้ลุงเจืออีกจำนวนหนึ่ง พร้อมกับขอร้องไม่ให้แพร่งพรายเรื่องนี้ เนื่องจากเกรงจะมีผลกับผู้คนที่เข้ามาท่องเที่ยว ด้วยบุญคุณหลายครั้งหลายคราที่เคยติดพันกันอยู่ ทำให้ลุงเจือไม่กล้าอิดเอื้อนที่จะสืบถามเรื่องราวถึงนภาจากคฤหาสน์นั่นอีก

                                                *************

รายละเอียด

การหายไปของศพผู้เสียชีวิตในคฤหาสน์ พาให้ผู้คนหวาดผวาและนำพาไปสู่การสืบค้น

ความริษยา แก่งแย่งชิงดี...เป็นชนวนเหตุแห่งที่มา

แต่ละคนถูกตัดสินด้วยศาลเตี้ย....ให้ชดใช้กรรม 

 


รีวิว (0)


สินค้าที่ใกล้เคียง (95 รายการ)

www.batorastore.com © 2024