ธุรกิจใหญ่ VS ธุรกิจเล็ก

            ธุรกิจนั้นมีหลายขนาดทั้ง เล็ก กลาง ใหญ่ ใหญ่มาก ใหญ่สุดๆ แต่จะมีใครสนใจที่จะศึกษาว่าขนาดของธุรกิจนั้นมีความแตกต่างกันอย่างไร และข้อดีข้อเสียของธุรกิจแต่ละขนาดนั้นแตกต่างกันเช่นไร ผมซึ่งเป็นนักลงทุนและได้ศึกษามาก็หลายร้อยบริษัทมีทั้งใหญ่และเล็ก ซึ่งก็บอกได้เลยว่าแตกต่างกันมากทั้งผลตอบแทนและความผันผวนของราคาหุ้น นอกจากนี้ในแต่ละช่วงเวลายังให้ผลตอบแทนที่ต่างกันอีกต่างหาก และเรื่องความเสี่ยงที่คนส่วนใหญ่คิดว่าบริษัทเล็กนั้นจะเสี่ยงกว่าบริษัทใหญ่ แต่ผมกลับมองว่าบริษัทเล็กในตลาดหลักทรัพย์นั้นเมื่อนำมาเทียบกับบริษัททั่วไปนอกตลาด ก็กลายเป็นบริษัทใหญ่ไปซะงั้น ก็แสดงว่าบริษัทขนาดเล็กในตลาดนั้นกลับไม่ได้มีความเสี่ยงมากอย่างที่คิด แต่กลับมีช่องว่างให้เติบโตมากกว่าบริษัทที่มีขนาดใหญ่ไปเรียบร้อยแล้ว

            เนื่องจากบริษัทที่ขนาดของธุรกิจใหญ่นั้นเมื่อก่อนหน้านี้ก็เคยเป็นบริษัทเล็กกันมาก่อนแล้วทั้งสิ้น แล้วนักลงทุนที่จะได้ผลตอบแทนมากที่สุดจะเป็นใครกันล่ะ คนที่เข้าลงทุนก่อน หรือหลัง แน่นอนว่าต้องเป็นนักลงทุนที่ได้เข้าไปลงทุนในขณะที่บริษัทยังเล็กอยู่และได้ถือจนกลายเป็นบริษัทที่มีการขยับขยายจากการเริ่มต้นธุรกิจเล็กจนกลายเป็นธุรกิจขนาดใหญ่ได้ ทำให้กลายเป็นผู้ถือหุ้นในบริษัทใหญ่ซึ่งแน่นอนว่ามูลค่าหุ้นจะต้องมากกว่าตอนที่เป็นบริษัทเล็กๆ เรื่องง่ายๆอย่างนี้แต่กลับมีนักลงทุนหลายคนไม่เคยได้ลองคิดถึงเลย ซึ่งทำให้ปิดโอกาสการลงทุนในบริษัทที่อาจจะกลายเป็นยักษ์ใหญ่ในเวลาข้างหน้าถ้าพูดถึงเรื่องความเสี่ยงของบริษัทขนาดเล็กที่หลายคนอาจจะคิดว่าเสี่ยงกว่า เรื่องนี้ไ่มแน่เสมอไปเพราะบริษัทขนาดใหญ่หลายบริษัทต้องถึงขนาดล้มละลายด้วยเหตุผลที่ไม่สามารถแข่งขันกับผู้ที่เล็กกว่าและสามารถผลิตนวัตกรรมได้เร็วกว่าและถูกกว่ามาก ไม่ว่าจะเป็น โกดัก เจเนอรัลมอเตอร์ โซนี่ ซึ่งบริษัทเหล่านี้แม้บางส่วนจะยังอยู่รอดมาได้ แต่ก็ไร้ซึ่งความแข็งแกร่งเมื่อเทียบกับหลายสิบปีก่อนที่แทบจะเรียกได้ว่าไม่มีใครคิดถึงว่าปัจจุบันจะโดนแซงหน้าไปไกลได้ถึงเพียงนี้ แต่มันก็เกิดขึ้น เรื่องขนาดบริษัทจึงมีความเกี่ยวข้องกับความเสี่ยงน้อยกว่าที่เราคิดมาก


www.batorastore.com © 2024