Brother! ผู้ชายคนนี้...ผมจอง (ไอรัก)

Brother! ผู้ชายคนนี้...ผมจอง (ไอรัก)

0 รีวิว  0 รีวิว    
รหัสสินค้า: Brother_ผู้ชายคนนี้
ของหมด (ต้องการสินค้า)
ราคา: 290.00 บาท 72.50 บาท
ประหยัด: 217.50 บาท ( 75.00% )

เนื้อหาบางส่วน

“ตายแน่ สายแล้วๆ”

เสียงบ่นพึมพำตามด้วยความรีบร้อนของผมในวันนี้คงไม่พ้นเรื่องของการตื่นนอนสาย หลังจากที่เมื่อคืนต้องรีบเคลียงานเพื่อนำเสนอกับหัวหน้าตอน 9 โมงเช้า แต่นี่ปาเข้าไป 8 โมงแล้ว เหลือเวลาแค่ชั่วโมงเดียวกว่าจะไปถึงบริษัทมีหวังได้ไม่ทันแน่ สองมือกระชับกระเป๋าเอกสาร ก่อนรีบโบกแท็กซี่

“พี่ครับบริษัทxxxครับ” และไม่ต้องรอคำตอบของพี่แท็กซี่ ผมรีบแทรกตัวเข้าในรถทันที

สายๆ แบบนี้ต้องยอมรับเลยว่าเป็นอะไรที่ติดสุดๆ สำหรับรถ แต่ผมก็ต้องยอมสละเงินในกระเป๋าเพื่อขึ้น ทั้งที่ปกติผมจะใช้บริการแต่รถเมล์เพื่อประหยัดเงินในกระเป๋าตังค์ แต่ในสถานการณ์แบบนี้เป็นใครก็ต้องยอมเพื่องานแหละครับ

“พี่ครับเร็วๆ หน่อยครับ”

“ใจเย็นสิน้อง ออกมาสายแบบนี้ก็ติดเป็นธรรมดา”

พี่คนขับพยายามพูดอย่างใจเย็น แต่ผมสิกลับใจร้อน

“ก็จริงครับ แต่ผมสายแล้ว”

“เอาน่าๆ งั้นเดี๋ยวพี่ขับไปอีกทางก็ได้”

เหมือนรู้ใจ พี่แท็กซี่เปลี่ยนเส้นทางเพื่อให้ไปถึงบริษัทไวขึ้น แต่ก็ยอมรับว่าต้องขับอ้อมไปอีกนิด ผมเองก็นั่งก้นไม่ติดเบาะด้วยความตื่นเต้นว่าจะสาย ตาก็คอยมองทางพลางก้มมองนาฬิกาข้อมือตัวเองที่บอกตอนนี้ 8 โมงครึ่งไปแล้ว

“นั่งดีๆ ก็ได้ พี่จะพาไปถึงไม่เกิน 10 นาที”

พูดเสร็จพี่แท็กซี่รีบเพิ่มความเร็วจนเกือบ 100 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ถ้าเป็นปกติผมคงหัวใจวายตายด้วยความเร็วไปแล้ว แต่ตอนนี้ไม่มีเวลาห่วงเรื่องนั้น

“ขอบคุณมากพี่ นี่ครับ” ผมรีบยื่นเงินค่าโดยสารให้พี่เขาอย่างรีบเร่ง

หลังจากพ้นหน้าบริษัท สองขาผมก็แทบจะพุ่งไปที่ลิฟต์ที่ตอนนี้กำลังจะปิด มือซ้ายที่กำลังว่างรีบกดปุ่มเพื่อขอไปด้วย และก็ไม่ผิดหวังเพราะประตูที่กำลังปิดค่อยๆ เปิดออก

“อ้าวที เพิ่งมาเหรอ”

ผมรีบแทรกตัวเข้าไปในลิฟต์ก่อนจะพบกับเพื่อนร่วมงานที่เพิ่งมาเหมือนกัน

“ตื่นสายวะ เคลียงานดึกไปหน่อย”

“อะไรกัน หักโหมขนาดนี้ระวังไม่สบายนะ”

“นิดหน่อย ว่าแต่เราทำไมเอิร์ทถึงเพิ่งมาล่ะ”

ผมหันไปถามบ้าง เพราะปกติเอิร์ทจะมาแต่เช้าไม่ต่างจากผม

“มีเรื่องนิดหน่อยนะ อ่ะ ถึงแล้ว รีบไปพรีเซ้นต์งานเถอะ เพราะก่อนเราจะขึ้นมา พวกหัวหน้ากับทีมอื่นๆ ขึ้นมาก่อนแล้ว”

“อะไรนะ แล้วทำไมเพิ่งบอกเนี่ย ซวยแล้ว”

ผมรีบวิ่งออกจากลิฟต์เพื่อตรงไปยังห้องประชุมทันที ทิ้งเอิร์ทเดินหัวเราะตามมาติดๆ

 

“เฮ้ย โล่ง”

ผมนั่งพ่นลมอย่างหมดแรงหลังจากออกจากห้องประชุม ทุกอย่างผ่านไปได้ด้วยดี แต่จะดีมากถ้าไอ้คนข้างๆ ผมมันไม่หัวเราะเยาะผม แถมยังขำไม่หยุดซะอีก

“ขำไรวะ”

“ก็นายไง ดูทำท่าทำทางเข้า ไหวไหมเนี่ย” เอิร์ทหัวเราะชอบใจเป็นการใหญ่

ความจริงผมกับเอิร์ทก็ไม่ถึงกับสนิทเท่าไหร่ แต่เพราะตอนที่ผมเพิ่งเข้ามาทำงานก็ได้ไม่นานมันคอยดูแลช่วยเหลือในทุกๆ อย่าง อีกอย่างอายุของเราก็เท่ากันทำให้สนิทกันไวขึ้น ไปไหนมาไหนด้วยกันตลอด ซึ่งถ้าใครไม่รู้จักพวกเราจริงๆ ก็คงคิดว่าเป็นคู่ขากันไปแล้ว แต่พอได้รู้จักจริงๆ จะรู้ว่าทั้งผมและมันไม่มีอะไรไปกว่าคำว่าเพื่อน

“เออน่า”

“เอานี่ กินซะ ช่วยได้” ไม่ว่าเปล่าเอิร์ทวางน้ำแก้วโตไว้บนโต๊ะผม

“อะไร”

“น้ำหวาน ช่วยให้หายเครียดได้เยอะ”

“อืม ขอบใจ” แม้จะลังเลแต่ก็ไม่อยากให้เพื่อนเสียน้ำใจยกดื่มจนหมดแก้ว

“เป็นไงดีขึ้นไหม”

“ก็ดี”

“เสร็จโปรเจคนี้แล้วมีงานใหญ่อีกไหมเนี่ย”

“ตอนนี้ก็ยังหรอก”

“เออดีแล้วจะได้พักผ่อนบ้าง เห็นนายเครียดเราไม่ค่อยสบายใจเลยวะ”

“ขอบใจวะ”

ผมตบบ่ามันเบาๆ ก่อนจะหันมาสนใจงานหน้าจอคอมฯ ตรงหน้า เอิร์ทเองก็เช่นกัน

 

ตกเย็นเราสองคนเตรียมหาร้านอร่อยๆ กินกันก่อนกลับเพื่อเป็นการฉลองกับงานในวันนี้ที่ผ่าน แม้จะเกือบดึกแล้วก็ตามที

“เอ้า ชน!”

เราสองคนนั่งอยู่ในร้านอาหารข้างทางที่เป็นร้านประจำของเราสองคน และเครื่องดื่มที่ผมใช้ชนกับมันก็คงไม่พ้นน้ำอัดลม เพราะผมไม่ชอบดื่มเครื่องดื่มประเภทที่มีแอลกอฮอล์ ต่างจากเอิร์ทที่ในแก้วเต็มไปด้วยเบียร์ เราสองคนสั่งอาหารและกับแกล้มมาอีกเล็กน้อย โดยมื้อนี้เอิร์ทอาสาเลี้ยงผม แม้ผมจะปฎิเสธแล้วก็ตาม

“กินเยอะๆ นะเว้ย ช่วงนี้นายผอมลงเยอะเลย ยิ่งตัวเล็กๆ อยู่ ลมพัดจะปลิวเอาได้”

“ได้ๆ รู้สึกเหมือนกัน” ผมหัวเราะแห้งๆ

คงต้องยอมรับว่าผมเป็นคนตัวเล็ก ผิวขาว ปากแดง ต่างจากไอ้คนตรงหน้าที่ตัวใหญ่กว่าเหมือนผู้ชายทั่วไป บางทีผมเองก็อดอิจฉาหุ่นมันไม่ได้ เพราะมันเป็นที่หมายตาของสาวๆ หลายคน

“เอานี่ กินด้วย”

ไม่พูดเปล่า เอิร์ทตักเนื้อชิ้นโตใส่ชามผม

“เฮ้ย ไม่เป็นไร”

“อย่าเรื่องมากน่า กินๆ ไปเหอะ เราไม่ได้เลี้ยงนายทุกวันนะ”

“ขอบใจ” เพื่อไม่ให้เสียน้ำใจก็เลยกินมันซะ จนไอ้คนตรงหน้ายิ้มแก้มปริด้วยความดีใจ

“ยิ้มไรอีกล่ะ”

“มีความสุข”

“มีความสุข? เรื่องอะไร” นั่นสิ มันจะยิ้มอะไรหนักหนา

“ก็เห็นนายกินได้เราก็มีความสุขมาก”

“หึหึ อย่าพูดได้ไหมวะ เสียวสันหลังแปลกๆ”

“ล้อเล่นๆ”

เอิร์ทหัวเราะชอบใจอีกระลอก ถึงแม้ผมจะไม่ค่อยเข้าใจเจตนาของมันว่ากำลังคิดอะไรอยู่ แต่ผมก็อุ่นใจที่มีมันอยู่ข้างๆ ไม่ว่าจะทุกข์ สุข หัวเราะ ดีใจ เสียใจ หรือร้องไห้ ผมมีมันอยู่เคียงข้างเสมอ คอยเป็นเพื่อนที่ดูแลผมอยู่ตลอดเวลา

“รีบกินเถอะจะได้รีบกลับ ดึกแล้ว”

“อืม”

 

หลังจากเสนอโปรเจคเรียบร้อย วันนี้ก็เป็นวันที่ผมจะได้พักผ่อนอย่างเต็มที่ เพราะตลอดหลายวันที่ผ่านมาผมได้นอนเกือบจะตี 2 แทบทุกคืน แถมยังเครียดอยู่ตลอด เห็นทีต้องพักผ่อนยาวๆ สักที

พอหลังโดนที่นอนนุ่มๆ สายตาผมก็ค่อยๆ เริ่มปิดลงด้วยความเหนื่อยล้า

ครืดดดดด....

แรงสั่นไหวจากหัวเตียงทำให้ผมต้องลืมตาขึ้นไปมองถึงสาเหตุ ก่อนจะพบกับมือถือรุ่นเดอะที่ผมซื้อมาใช้เมื่อหลายปีมีสายโทรเข้า

“สวัสดีครับ” ผมกรอกเสียงลงไป

(ใช่เบอร์ นที รึป่าวครับ)

ปลายสายถามอย่างสุภาพ

“ใช่ครับ”

(เฮ้ย ไอ้ที นี่กูเอง)

“กูไหน? นั่นใครครับ”

จากที่ตอนนี้กำลังเคลิ้มๆ จะหลับต้องขมวดคิ้วสงสัยกับคนปลายสาย เป็นใครก็คงงงไม่ต่างจากผมแหละครับ

(เติม เพื่อนมึงไงวะ)

พอได้ยินชื่อของคนปลายสายก็ทำเอาผมสปริงตัวลุกนั่งด้วยความดีใจ

“เฮ้ย ไอ้เติม”

(ก็กูเองไงวะ นึกว่ามึงเปลี่ยนเบอร์ไปแล้วนะเนี่ย)

“กูไม่เปลี่ยนหรอก ไม่รู้จะเปลี่ยนทำไม”

พูดไปก็จริงเพราะผมใช้เบอร์นี้มาตั้งแต่มอปลาย นี่ก็เป็น 10 ปีแล้วที่ผมยังใช้เบอร์นี้อยู่โดยไม่เปลี่ยน

“แล้วเป็นไงบ้าง สบายดีป่าว”

(เออ สบายดี แล้วมึงล่ะ)

“ก็ดีนะ เรื่อยๆ” ผมเลี่ยงตอบไปแบบนั้น เพราะรู้ดีว่าตอนนี้ผมเพลียสุดๆ

(พรุ่งนี้ว่างป่าววะ เผอิญมีเรื่องรบกวน)

“เรื่องไรวะ”

(เอาไว้เดี๋ยวพรุ่งนี้ค่อยคุยแล้วกัน ฟังเสียงมึงเหมือนคนกำลังจะหลับ ไม่อยากรบกวนวะ)

“โทษที เพิ่งทำโปรเจคเสร็จไป ไม่ได้นอนหลายวันเลยเพลียสุดๆ”

(ถ้าไงพรุ่งนี้มาเจอกันที่ร้านกาแฟร้านประจำของเราหน่อยแล้วกันนะ)

“ร้านกาแฟเจ๊หนิงนะเหรอ”

ผมย้อนถามถึงร้านกาแฟที่ผมกับมันมักจะไปใช้บริการอยู่บ่อยๆ จนเจ้าของร้านจำได้

“ได้ๆ แล้วกี่โมงล่ะ”

(10 โมงแล้วกัน มึงได้นอนพอ ไม่อยากนัดเช้า)

“ได้ๆ ไว้เจอกัน”

(อืม แล้วเจอกัน)

พอเห็นเพื่อนเก่าวางสายไป ผมก็ได้นั่งอมยิ้มนึกถึงเรื่องในอดีต

 

ไม่ได้เจอมันกี่ปีแล้ววะ

 

ผมพึมพำกับตัวเองก่อนจะกดโทรศัพท์หวังตั้งนาฬิกาปลุกเอาไว้ แต่กลับเห็นข้อความจากเพื่อนร่วมงานที่ส่งมาหา

 

/ฝันดีนะเว้ย...เอิร์ท/

 

ผมอมยิ้มกับหน้าจอก่อนจะล้มตัวนอนลงอีกครั้ง

 

 

CHAPTER ONE

 

ติ๊ดๆ.....

เสียงโทรศัพท์ตรงหัวเตียงพร้อมกับแรงสั่นแรงๆ ทำเอาผมต้องลุกขึ้นจากเตียง แม้ว่าจะได้นอนไปหลายชั่วโมง แต่ก็ยังมีความเหนื่อยล้าหลงเหลืออยู่บ้าง ร่างกายบิดไปมาเพื่อไล่ความขี้เกียจก่อนจะลุกไปอาบน้ำ

เช้านี้ผมไม่ต้องรีบแบบทุกวัน ผมแต่งตัวแบบสบายๆ (เสื้อยืด กางเกงยีนส์) ที่ผมมักจะใส่ในวันหยุดแบบนี้ แต่วันนี้ผมกลับมีนัดกับเพื่อนสนิทที่ไม่ได้เจอกันมานานหลายปี มันเลยทำให้ผมรู้สึกตื่นเต้นเป็นพิเศษ

พอลงจากรถประจำทางผมก็เดินตรงไปยังร้านกาแฟมาติกซึ่งมีเจ๊หนิงคนสวยเจ้าของร้านเป็นคนขายเอง อีกทั้งยังตกแต่งร้านชวนให้ลูกค้าเข้า กาแฟทุกชนิดก็รสชาติกลมกล่อมถูกใจบรรดานักศึกษาในย่านนี้ ไม่เว้นแม้แต่ผมเองก็ติดใจเหมือนกันและดูเหมือนว่าวันนี้ลูกค้าจะเยอะเป็นพิเศษทำให้ผมลังเลอยู่พักนึงก่อนจะเดินเข้าไปหาโต๊ะว่างนั่ง แต่ก็ต้องสะดุดกับผู้ชายคนหนึ่งที่นั่งอยู่

“เฮ้ยมานี่เร็ว” แต่ก่อนที่ผมจะเดินไปถึงเติมก็เรียกผมซะก่อน

“เออๆ มานานยังวะ”

“10 นาทีได้ แล้วกินไรไหมจะได้สั่งให้”

“เอาเหมือนเดิมแหละกัน”

“เหมือนเดิมเหรอ”

“อะไรกัน จำไม่ได้เหรอวะ”

“ล้อเล่น งั้นรอแปบ”

เติมพูดเสร็จก็เดินไปสั่งกาแฟให้ผม แต่ผมกลับรู้สึกว่าวันนี้เติมไม่ได้มาคนเดียว ที่นั่งด้านข้างของเติมมีเด็กหนุ่มนั่งอยู่ด้วยอีกคน ผมได้แต่เพียงพยักหน้าทักทายเพราะจำไม่ได้ว่าใคร แต่ในความรู้สึกของผมกลับคุ้นเคยเป็นอย่างมาก

“สั่งให้แล้วนะ” เติมกลับมานั่งที่เดิม

“ขอบใจวะ”

“อืมๆ” เติมยิ้ม “เออลืมไป มึงจำน้องกูได้ป่าว”

“น้องมึง”

“เออ น้องกู ไอ้ต่อนะ”

เติมแนะนำน้องตัวเอง ซึ่งผมเองก็พอจำได้อยู่บ้าง เพราะตอนที่ผมไปบ้านมันบ่อยๆ ผมมักจะเจอเด็กผู้ชายตัวเล็กๆ ที่มักจะวิ่งไปมาในบ้าน แต่ผมกับต่อก็ไม่ถึงกับสนิทกัน แค่คุยกันผ่านๆ

“ส่วนนี่ พี่นที หรือไอ้ที เพื่อนพี่”

“สวัสดีครับ” ต่อยกมือไหว้ผมทันที

“เฮ้ยๆ ไม่ต้องไหว้ก็ได้” รู้สึกตัวเองแก่ขึ้นทันตาเห็น

“อะไรวะ น้องมันไหว้ก็ห้าม”

เติมหัวเราะชอบใจที่เห็นผมทำตาโต

“มึงอย่ามาเลย น้องมึงกะกูอายุห่างกันแค่ 2 ปี แล้วมาไหว้แบบนี้ รู้สึกแก่วะ”

“เออๆ รู้แล้ว” เติมพยายามหยุดขำ

“แล้วตกลงมีเรื่องไรถึงนัดมาเนี่ย” พอเห็นกาแฟที่สั่งมาเสิร์ฟผมก็เอ่ยถามเข้าเรื่องที่มันนัดผมมาทันที

“อะไรวะ เพื่อนนัดแค่นี้จำเป็นต้องมีเรื่องด้วยเหรอ” เติมกวนผม

“ไม่มีก็ได้” ผมขำมัน

“งั้นเข้าเรื่องก็ได้”

บทมันจะเข้าเรื่องก็เข้าซะดื้อๆ ผมล่ะตามมันไม่ทันจริงๆ

“คือว่าเดี๋ยวพรุ่งนี้กูกับพ่อแม่จะไปทำธุระที่ต่างประเทศหลายเดือน คิดว่าจะไปลงทุนทำธุรกิจที่นู้นสักระยะ แต่ติดที่ว่าตอนนี้ต่อมันยังเรียนอยู่ กูเองก็ไม่อยากให้มันอยู่ที่บ้านคนเดียว ก็เลยปรึกษากับไอ้ต่อมัน แล้วสรุปได้ว่า จะมาฝากมึงดูแลมันนะ”

“กูเนี่ยนะ”

“ทำไมวะ ไม่ได้เหรอ ดูแลน้องกูแค่แปบเดียว กูไม่อยากให้มันไปอยู่กับคนอื่น กลัวมันเสียเด็ก”

“โธ่พี่ ผมไม่ใช่เด็กแล้วนะ” ต่อค้าน

“เออ กูรู้ แต่ช่วงนี้ยังวัยรุ่นอยู่ ถ้าไปคบเพื่อนไม่ดีพาเสียล่ะ”

ดูเหมือนผมจะรู้ว่าเติมหวังดีกับน้องชายมาก ไม่อยากให้เสียคนเลยคิดจะมาฝากกับผม

“แล้วไงวะ ได้ป่าว” เติมหันกลับมาถามผมอีกครั้ง

“ได้มันก็ได้อยู่ แต่ว่า...”

“แต่ไรวะ”

“คือตอนนี้กูพักอยู่หอวะ อยู่ 2 คนกลัวต่อมันจะอึดอัด”

“อ่อ เรื่องนั้นไม่ต้องกลัว กูจัดการให้มึงกับน้องกูเรียบร้อยแล้ว”

“จัดการไรวะ”

“กูไปซื้อคอนโดให้แล้ว แล้วก็ลงชื่อมึงเป็นเจ้าของ”

“เฮ้ย...”

“ไม่ต้องมาเฮ้ยเลย ทำไมวะ”

“ก็ไม่ทำไม แต่ทำไมต้องใช้ชื่อกูด้วย”

“อ้าว ไม่ให้ใช้ชื่อมึงแล้วจะให้ใช้ชื่อใคร ไอ้ต่อเหรอ มันก็ยังเด็กอยู่ อีกอย่างกูตั้งใจซื้อให้มึงไว้อยู่กับน้องกู”

“แต่...”

“ไม่ต้องมาแต่ กูจัดการหมดแล้ว ขี้เกียจไปยกเลิก”

“มัดมือชกวะ”

“เออ เพิ่งรู้ไง”

“รู้มานานแล้ว”

ความจริงผมเองก็ต้องยอมรับว่าบ้านของมันรวย รวยเป็นอันดับต้นๆ ของประเทศ แต่ไม่คิดว่ามันจะลงทุนซื้อคอนโดให้ผม แต่ยังไงซะผมก็คงรับไว้ไม่ได้เพราะมันแพงเกินไปสำหรับผม แค่เงินเดือนที่ได้แต่มาแต่ละเดือนก็เหลือเก็บไม่กี่บาท ดังนั้นเรื่องคอนโดสำหรับผมคงเป็นเรื่องที่อีกยาวไกลกว่าจะมี แต่อยู่เฉยๆ กลับได้มาฟรีๆ แถมจากเพื่อนคนนี้ยิ่งทำเอาผมรู้สึกลำบากใจเป็นสุดๆ

“กูโอเคนะที่มึงจะมาฝากกูดูแลต่อนะ แต่กูไม่โอเคเรื่องคอนโด เอาไว้กูจะผ่อนค่าคอนโดคืนมึงดีกว่า”

“ทำไมวะ นิดหน่อยเอง”

“กูรบกวนมึงมาเยอะแล้ว ตั้งแต่เรียน อีกอย่างกูเองก็ตั้งใจจะเปลี่ยนที่อยู่ใหม่มาสักพักแล้วแต่ยังไม่ได้แพลนคิด พอมึงพูดมาแบบนี้ก็คงต้องจ่ายคืนให้มึงแหละวะ ไม่อยากรับไว้ กูขอบใจมึงมากที่หวังดีกับกู แต่จะดีมากถ้ากูขอรับแค่น้ำใจไว้”

“เออๆ เอางั้นก็ได้”

ดูเหมือนเติมจะอารมณ์เสียนิดๆ ที่ผมปฏิเสธคอนโด แต่ผมก็รู้สึกดีใจที่มีเพื่อนดีๆ อย่างมัน

“อ่อ แต่ต้องรออีกสองสามวันนะ เพราะตอนนี้กำลังให้คนงานตกแต่งกับซื้อเฟอร์นิเจอร์อีกนิดหน่อย”

“ได้ๆ”

“ถ้าไงเดี๋ยวพรุ่งนี้กูจะให้ต่อมาหามึงที่หอแล้วกัน”

“ไม่ต้องหรอก เดี๋ยวกูไม่ช่วยขนของที่บ้านมึงดีกว่า”

“เออ เอางั้นก็ได้”

หลังจากนั้นเราสามคนก็คุยเรื่องอื่นอีกสักพักก่อนจะแยกย้ายกันกลับบ้าน

 

รุ่งเช้าผมมายืนอยู่หน้ารั่วบ้านพัชรเวชตามที่ผมนัดกับไอ้เติมเอาไว้เมื่อวาน หลังจากกดกริ่งหน้าบ้านไม่นานประตูก็ค่อยๆ เปิดออก

สองเท้าค่อยๆ ย่างก้าวเข้าไปในพื้นที่บ้าน ต้องยอมรับเลยว่าภายในบ้านหลังนี้ทุกอย่างยังคงเหมือนเดิม ทั้งทางเดิน ต้นไม้ สระน้ำ ยังคงสภาพเดิมไม่ต่างจากที่ผมเคยมาครั้งล่าสุด แต่นั้นมันก็นานมาแล้วจนไม่อยากเชื่อเลยว่าทุกอย่างยังคงเดิม

“อ้าว คุณที มาแล้วเหรอคะ”

เสียงป้าอ้อย แม่บ้านของบ้านพัชรเวชออกมาต้อนรับผมด้วยรอยยิ้ม

“ไม่ได้เจอกันซะนานเลยนะคะ เป็นไงบ้าง สบายดีไหม”

“สบายดีครับ ป้าล่ะสบายดีไหมครับ”

ผมทักทายป้าอ้อยพร้อมสวมกอดด้วยความคิดถึง

“คิดถึงจังเลย ไม่ได้กินข้าวฝีมือป้าตั้งนาน”

“ปากหวานเหมือนเดิมเลยนะคะ ป้าสบายดีค่ะ แล้วนี่ทานไรมาหรือยัง ป้าจะได้ไปอุ่นกับข้าวมาให้”

 ป้าอ้อยทำท่าจะพาผมเข้าครัวทันที แต่ผมก็ต้องรั้งแกไว้ก่อน

“ผมทานมาเรียบร้อยแล้วครับ”

“ตายจริง พอป้ารู้ว่าคุณทีจะมาบ้านป้าก็เตรียมทำของโปรดเอาไว้ให้เลยนะคะเนี่ย” ป้าอ้อยทำหน้าผิดหวังเล็กน้อยที่ผมกินข้าวมาก่อน

“ขอโทษครับ” ผมรู้สึกผิดนิดๆ

“ไม่เป็นไรค่ะ ป้าว่าคุณทีไปช่วยดูคุณต่อดีกว่า ไม่รู้ว่าเก็บของเสร็จหรือยัง”

“ยังไม่เสร็จอีกเหรอครับ”

จะว่าไปหลังจากแยกกันก็น่าจะพอมีเวลากลับมาแพ็คของจนเสร็จได้แล้ว แต่ทำไมป่านนี้ยังเก็บของไม่เสร็จอีกนะ

“แล้วเติมล่ะครับ”

“คุณเติม นายท่านแล้วก็คุณนายขึ้นเครื่องไปตั้งแต่เช้าแล้วคะ เหลือก็แต่คุณต่อคนเดียว”

“ถ้างั้นผมขึ้นไปดูแล้วกันนะครับ”

“ได้คะ แล้วเดี๋ยวป้าไปเตรียมน้ำให้ไว้นะคะ”

“ขอบคุณครับ”

ผมเดินขึ้นไปชั้นสองของบ้านแล้วเดินไปเรื่อยๆ จนสุดทางเดิน ตรงหน้าคือประตูไม้อัดอย่างดีที่ตอนนี้เปิดแง้มอยู่ ข้างในมีเสียงกระแทกเบาๆ พร้อมเสียงเพลงที่เปิดคลอไปด้วย

ก๊อกๆ

“ใครครับ”

“พี่ทีเอง” ผมตอบไป

“พี่ทีเหรอ แป๊บนึงนะพี่”

พอสิ้นเสียงของต่อก็ตามด้วยเสียงแปลกๆ อีกหลายรอบฟังดูคล้ายกับกำลังฉีกและดึงอะไรบ้างอย่างอยู่ จนผมเองอดสงสัยไม่ได้ว่าต่อกำลังทำอะไรอยู่หลังประตู จะเปิดเข้าไปก็ไม่ดีเผื่อตอนนี้ต่อกำลังโป๊อยู่คงจะอายผม

“เสร็จแล้วพี่ เข้ามาได้”

“ทำอะไรอยู่เหรอ”

หลังจากเปิดประตูเข้าไปก็เห็นต่อยืนเหงื่อแตกทั้งที่ภายในห้องก็เปิดแอร์จนเย็น

“เก็บของอยู่นะครับ”

“แล้วใกล้เสร็จหรือยัง”

“เสร็จแล้วครับ เหลือแค่ยกลงไป”

“ถ้างั้นพี่ช่วยยกลงไปข้างล่างนะ”

“ขอบคุณครับ”

ผมก้มไปหยิบกระเป๋าที่อยู่ใกล้ๆ มือหวังจะยกลงไปด้านล่าง แต่สายตาของผมกลับเหลือบไปเห็นรูปขนาดเล็กใบหนึ่งหล่นอยู่ใกล้ๆ กับกระเป๋า และด้วยความสงสัยทำให้ต้องหยิบขึ้นมาดู

“นี่มัน...”

ในมือของผมคือรูปของผู้ชายคนหนึ่งที่กำลังยิ้มอย่างมีความสุข เป็นผู้ชายที่ผมรู้จักดีเสียด้วย

“เฮ้ยพี่” ต่อรีบคว้ารูปในมือผมไปทันที “ไม่มีอะไรนะพี่”

แม้จะบอกว่าไม่มีอะไร แต่ผมกลับรู้สึกแปลกๆ เพราะคนในรูปนั้นคือ...ผมเอง

“ไม่มีก็ไม่มี ถ้างั้นพี่ยกกระเป๋าลงข้างล่างนะ”

“...”

ต่อไม่ตอบได้แต่พยักหน้าเบาๆ ให้ผมลงปิดใบหน้า

“เดี๋ยวผมตามไปครับ”

“อืมๆ”

แม้จะยังสงสัยอยู่ว่าทำไมมีรูปผมตกอยู่บนพื้น แต่ในเมื่อเจ้าตัวยืนยันว่าไม่มีอะไร ผมก็ไม่ควรจะถามต่อ แต่คิดว่าสักวันผมคงต้องถามแน่ๆ ว่าทำไมถึงมีรูปผมอยู่ที่นี่ได้

รายละเอียด

"พี่ทีครับ ผมชอบพี่นะครับ ชอบมานานแล้ว"

"ต่อ แต่เราเป็นน้องชายของเพื่อนพี่นะ"

"เป็นน้องแล้วไงครับ รักกันไม่ได้เหรอ"

".........."

"พี่ที เป็นแฟนกับผมนะครับ"

รีวิว (0)


สินค้าที่ใกล้เคียง (68 รายการ)

www.batorastore.com © 2024