Customer Reviews

ดรีมทีม วีไอไทยแลนด์พอร์ตหมื่นล้าน
5
ค่อนข้างดีอีกเล่มครับ (ข้อมูลที่มีประโยชน์เยอะใช้ได้)
โดย: ลักกี้แมน วันที่เขียนรีวิว: 04 พฤศจิกายน พ.ศ. 2556

หนังสือรวมนักลงทุน vi เล่มนี้ไม่ได้คัดเอาแต่นักลงทุนระดับ 1,000 ล้านบาทมา แต่จะคัดเอานักลงทุนรุ่นใหม่ที่น่าจะเกือบทุกคนอยู่ในแวดวงของชมรมนักลงทุนหุ้นคุณค่า ซึ่งพัฒนามาจาก เว็บไซต์ thaivi.com มาใว้หลายต่อหลายคน ซึ่งส่วนใหญ่จะมาพอร์ตในระดับ หลัก 100-1,000 ล้านบาท และส่วนใหญ่จะเป็นนักลงทุนที่อยู่ในวัยกลางคน โดยทุกคนนั้นลงทุนแนว vi หมด(ก็แน่ละ) หลักการก็จะคล้ายๆกันคือไม่ซื้อขายบ่อย ไม่ซื้อหุ้นหลายตัว หรือน้อยตัวจนเกินไป แต่ละคนก็จะเล่าประสบการณ์การลงทุนของตัวเองให้เราได้อ่านกันอย่างจุใจ บางคนผ่านวิกฤตต้มยำกุ้ง บางคนก็ไม่เคยผ่าน ส่วนใหญ่แล้วเริ่มต้นจาก เล่นซื้อขายโดยไม่มีหลักการเกือบทุกคน แล้วก็เกือบทุกคนเช่นกันที่ได้เริ่มเข้ามาในวิถี vi โดยการอ่านหนังสือที่มีชื่อว่า "ตีแตก" หรือ หนังสือในซีรี่ส์ rich dad poor dad ซึ่งก็เป็นสองเล่มที่ผมอ่านเป็นเล่มแรกๆเช่นกัน

หลักการของทุกคนจะคล้ายคลึงกัน คือจะได้เคยผ่านหุ้นหลายเด้งมาก่อนที่จะมีพอร์ตระดับ 100 ล้าน (เช่น AJ PTL HMPRO CPALL)และบางคนถือหุ้นนานเกิน 5 ปี ซึ่งนักเก็งกำไรไม่มีทางทำได้เลย ส่วนใหญ่น่าจะเกือบทุกคนยอมรับว่าไม่เคยดูกราฟ เพราะไม่เข้าใจ และมีหลายคนมากๆที่จะเน้นหุ้นอยู่ 2 กลุ่ม คือ ค้าปลีก และโรงพยาบาล โดยส่วนใหญ่จะหลีกเลี่ยงหุ้นกลุ่ม commodity ซึ่งเหตุผลก็เหมือนกันทุกคนคือเข้าใจยาก แต่ละคนนั้นมาจากหลากหลายอาชีพ มีทั้งหมอ วิศวกร หรือเริ่มทำธุรกิจส่วนตัวก่อนที่จะมาลงทุน และยังมีบางคนที่สร้างความมั่งคั่งหลักจากธุรกิจส่วนตัวได้ไม่แพ้หุ้นในตลาดเลยด้วยซ้ำ (ใครกันหนอต้องลองอ่านดูกันเอาเองนะจ้า) มีหลายคนซื้อหุ้นที่ผมคิดว่าคงไม่มีใครเคยได้ยิน เช่น WG แต่ผลตอบแทนกลับอยู่ในระดับค่อนข้างดีมาก

โดยรวมแล้วสำหรับคนที่ต้องการดูว่าใครกันมีแนวโน้มว่าจะสามารถพลิกกลายเป็นนักลงทุนแนว vi ได้ ต้องลองศึกษานักลงทุนที่อยู่ในหนังสือเล่มนี้ดูครับ อาจจะสั้นไปหน่อยเพราะมีหลายคน แต่รับรองว่าหลากหลายแน่นอนครับ
เอก เด็กวัดร้อยล้าน
3
เหมือนหนังสือโปรโมตตัวเอง
โดย: ลักกี้แมน วันที่เขียนรีวิว: 02 พฤศจิกายน พ.ศ. 2556

หนังสือเล่มนี้เหมือนกับจะเป็นหนังสือที่เล่าประสบการณ์ของนักธุรกิจที่ประสบความสำเร็จตอนอายุยังน้อย แต่จริงๆแล้วภายในเล่มกลับไม่ใช่เพราะก่อนที่ผมจะอ่านหนังสือเล่มนี้ผมก็ไม่เคยได้ยินชื่อของผู้เขียนมาก่อน (ปรกติผมไม่ใช่คนที่ชอบดูละคร) ซึ่งภายในเล่มก็จะเล่าถึงชีวิตตั้งแต่วัยเด็กของผู้เขียนจนโตขึ้นมาและได้ลองทำธุรกิจที่เกี่ยวกับอสังหาริมทรัพย์ ธุรกิจนั้นคือ การขายโรงงานขนาดเล็ก ซึ่งก็ไม่ทราบว่าสำเร็จขนาดไหน ที่บ้านของผู้เขี่ยนก็ได้ทำธุรกิจอสังหาริมทรัพย์มาก่อนแล้ว และการลงทุนนั้นคาดว่าส่วนใหญ่จะได้จากครอบครัวของผู้เขียนเสียส่วนใหญ่ และเรื่องราวที่ได้เล่าภายในเล่มก็ไม่ค่อยจะละเอียด และให้ข้อมูลความรู้ได้ไม่ค่อยดีนัก โดยตอนหลังจะพูดถึงการที่ผู้เขียนได้ถูกแมวมองมาทาบทามไปเข้าวงการบันเทิง ซึ่งส่วนนี้ผมมองว่าไม่ค่อยน่าสนใจเพราะไม่ได้เกี่ยวกับชื่อหนังสือเลยแม้แต่น้อย

การที่หนังสือชื่อว่า เด็กวัดร้อยล้านมีที่มาจากการที่ผู้เขียนได้เป็นลูกศิษย์และอยู่กินที่วัดอยู่ในระยะเวลาหนึ่ง ผมก็ไม่ค่อยเข้าใจเท่าไหร่เกี่ยวกับเรื่องนี้แต่ก็อ่านผ่านไปเพื่อที่จะศึกษาเนื้อหาด้านการทำธุรกิจมากกว่า ว่าเขาทำอะไร มีหลักการแบบไหน ประสบความสำเร็จได้ถึงขนาดไหนบ้าง แต่ก็อย่างที่บอกว่าค่อนข้างคลุมเครือพอสมควร อาจจะมีบ้างที่เขาบอกว่าการทำอสังหานั้นต้องค่อยๆทำจากเล็กไปใหญ่ และต้องรอบคอบเป็นอย่างยิ่ง เพราะพอทำแล้วกำไรเยอะคู่แข่งก็จะเข้ามาเต็มไปหมด ทำให้เขาตัดสินใจไปลองทำ โรงงานสำเร็จรูปแทน ซึ่งก็ขายได้หมด แต่รายละเอียดในส่วนนี้ก็ไม่ค่อยมีเหมือนเดิม มีแต่บอกว่าทำเพื่อคนที่ต้องการทำธุรกิจ sme

โดยรวมแล้วไม่ค่อยดีในแง่ของหนังสือธุรกิจเท่าไหร่ครับ เหมือนกับจะเขียนมาเพื่อโปรโมตเสียมากกว่า นอกจากนี้ในเล่มยังมีรูปของผู้เขียนค่อนข้างเยอะ เสียพื้นที่ในการเขียนเรื่องราวการทำธุรกิจไม่น้อยเลยทีเดียวครับ
เจริญ รุจิราโสภณ นักธุรกิจ 1,000 ล้าน
5
โดย: ลักกี้แมน วันที่เขียนรีวิว: 28 ตุลาคม พ.ศ. 2556

หนังสือเล่มนี้เป็นหนังสือธุรกิจอีกเล่มที่ให้แง่คิดเยอะมากๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ (ตามที่ผมคิดใว้แต่แรกเมื่อเห็นหน้าปก) และเมื่อได้เรียนรู้เกี่ยวกับคุณเจริญแล้วก็ยิ่งต้องบอกว่าทึ่งมากๆ เพราะท่านนั้นเติบโตแทบจะเรียกว่ามาจาก 0 จริงๆ และยังเป็นคนที่สามารถเข้าไปเติบโตอย่างลูกจ้างมืออาชีพในบริษัทขนาดยักษ์อย่าง CP ได้เสียอีก และหนึ่งในสิ่งที่ผมได้เรียนรู้จากเขานั้นเรื่องหนึ่งที่สุดยอดมากคือ การยอมถอย 1 ก้าวเพื่อจะก้าวไปข้างหน้าอีก 10 ก้าว คือตอนที่คุณเจริญได้ลาออกจาก CP ตอนอายุ 36 เมื่อได้คำนวนแล้วว่าแม้การเป็นผู้บริหารระดับแทบจะสูงสุดแล้ว และมีเงินเดือนสูงมาก พร้อมกับบริวารมากมาย (ตามที่ผู้เขียนได้เล่าว่าตำแหน่งต่ำกว่าเจ้าสัวธนินท์เพียงไม่กี่ขั้น) ก็อาจจะไม่สามารถมีเงินเดือนเยอะและมีความมั่งคั่งในระดับที่คุณเจริญต้องการได้ (รวมทั้งมีบ้านหลังใหญ่และเป็นเถ้าแก่ด้วยตัวเอง) จึงได้ตัดสินใจลาออกมาโดยที่มีเงินติดตัวมาเพียง 3 แสนบาท เพราะเขาได้เริ่มเก็บเงินค่อนข้างช้า ทั้งๆที่ทำงานที่ CP มาเป็น 10 ปี โดยได้กันเงินใว้อีก 1 แสนบาท เผื่อเอาใว้ถ้าทำธุรกิจไม่สำเร็จภายใน 1 ปีก็จะใช้เงินจำนวนนี้ในระยะเวลาที่ต้องหางานใหม่ซึ่งเขาก็คิดว่าถ้าทำไม่สำเร็จก็อาจจะแสดงว่าไม่มีดวงเป็นเถ้าแก่ ก็จะเป็นลูกจ้างต่อไปซึ่งก็เป็นเรื่องที่แสดงให้เห็นว่าคุณเจริญนั้นมีความคิดที่นอกจากจะทะเยอทะยานแล้วแต่กลับมีความรอบคอบและติดดินกว่าที่เห็นมาก ซึ่งนับว่าเป็นคุณสมบัติที่หายาก

เรื่องอื่นๆที่น่าสนใจเช่น เรื่องที่คุณเจริญมองการตลาดเป็นอันดับ 1 เพราะถ้าอาหารอร่อยแต่เข้าไม่ถึงลูกค้าก็ไม่มีประโยชน์แต่ อาหารที่รสชาติธรรมดาแต่เข้าถึงคนได้ทุกคน ก็จะขายดีกว่า แต่เขาก็ได้บอกถึงหลัก 3 ประการในการทำธุรกิจอาหารให้ประสบความสำเร็จ โดยถ้ามีครบทั้ง 3 ข้อนี้โอกาสสำเร็จจะสูงมากคือ
1. ความอร่อย
2. ราคาไม่แพง
3. รสชาติต้องเหมือนกันทุกที่
ซึ่งก็เหมือนกับธุรกิจอีคอมเมอร์ซที่ผมทำอยู่ก็มี 3 ประการเช่นกันและถ้ามีครบก็โอกาสสำเร็จสูงมากเช่นกัน
1. สินค้าหลากหลาย
2. ราคาถูก
3. บริการดีส่งเร็ว
แค่หลัก 3 อันนี้ถูกพูดออกมาจากปากของผู้ประสบการณ์ความสามารถสูงอย่างคุณเจริญก็เท่ากับหนังสือเล่มนี้นั้นคุ้มยิ่งกว่าคุ้มแล้วไม่นับเรื่องอื่นๆ นอกจากนี้ยังมีเรื่องของการทำการตลาดด้วยงบการตลาดเท่าจิ๋มมด คือ ได้งบมา 2 หมื่นบาท ให้ทำลูกชิ้นไก่ให้ติดตลาด ทั้งๆที่สมัยเมื่อหลายสิบปีก่อนนั้น คนจะกินกันแต่ลูกชิ้นเนื้อ (ตรงข้ามกับปัจจุบันที่ไม่ค่อยกินแล้ว) ซึ่งถ้าไปลง หนังสือพิมพ์หน้าหนึ่ง ก็ต้องใช้ เป็นแสนบาท และลงได้ครั้งเดียว ก็เหมือนเอาเงินไปเททิ้ง และคนขายลูกชิ้นก็ไม่กล้ารับลูกชิ้นไก่ไปขายเพราะคนไม่นิยมกิน ถ้าเอาไปแล้วขายไม่ออกก็ขาดทุนเยอะมาก ทำให้คุณเจริญคิดแผนการแจกลูกชิ้นไปฟรีๆ โดยเมื่อคำนวนต้นทุนลูกชิ้นไก่ที่ต้องแจกแล้ว งบ 20000 บาท สามารถแจกได้เยอะมาก ซึ่งคนขายลูกชิ้นก็โอเคเพราะ ถ้าขายได้คือกำไรล้วน (เพราะได้ลูกชิ้นไก่มาฟรี) จึงทำให้ติดตลาดอย่างรวดเร็ว แทนที่จะไปใช้งบโฆษณาช่องทางอื่น บทเรียนข้อนี้คือต้องมองให้ออกว่าแต่ละฝ่ายต้องการอะไร และทำให้ความต้องการของเขาไปในทางเดียวกับเรา

นอกจากนี้ยังมีเรื่องการจ้างบุคลากร ซึ่งเขาได้ให้แง่คิดว่าต้องมีการดูโหงวเฮ้ง (อาจจะเรียนรู้เรื่องนี้จากการทำงานใน CP) เพราะจะช่วยได้มาก และสิ่งที่พนักงานต้องมี 3 ข้อคือ
1. ซื้อสัตย์
2. ขยัน
3. เก่ง
ซึ่งซื่อสัตย์และขยันต้องมาก่อนเป็นอันดับแรก เพราะถ้ามีสองข้อนี้แต่ไม่เก่งมาก ก็ยังฝึกให้เก่งขึ้นได้ แต่ถ้าเก่งอย่างเดียวแต่ไม่ซื่อสัตย์รับรองว่าต้องทำให้บริษัทเสียหายแน่นอน ส่วนถ้าขยันแต่ไม่ซื่อสัตย์และเก่งก็แย่เช่นกัน เพราะจะทำให้แย่ไปใหญ่ โดยเขาได้แนะวิธีการดึงคนว่าถ้าเราให้พนักงานได้มีหุ้นในบริษัท และหาคนที่ทำงานแบบเถ้าแก่ ไม่ใช่แบบลูกจ้าง คนเหล่านี้จะทำเพื่อบริษัท ไม่ใช่เอาแต่หาโอกาสเอาเปรียบบริษัทอยู่ตลอดเวลา ซึ่งสำหรับลูกน้องคุณเจริญที่ทำงานจนขึ้นถึงระดับหนึ่งแล้วจะมีการให้หุ้นในบริษัทด้วย ซึ่งถือว่าค่อนข้างใจกว้างเลยทีเดียว

เมื่อเขาได้ออกมาก่อตั้งบริษัทของตัวเองแล้วก็ต้องพบว่าช่วงแรกของการทำธุรกิจที่มียอดขายไม่เยอะหรือธุรกิจ ที่เพิ่งเริ่มก่อตั้งนั้น การกู้เงินธนาคารเป็นเรื่องที่ยากมากจนเกือบจะเป็นไปไม่ได้ แถมเวลาไปกู้ต้องใช้เวลานานมาก ผ่านไป 3 เดือนเพิ่งจะกลับมาบอกว่าไม่ให้กู้ ซึ่งเสียเวลาเสียโอกาสในการทำธุรกิจเป็นอันมาก เขาจึงต้องใช้วิธีพึ่งตัวเองโดยการขายของที่ขายดี และเมื่อขายดีก็ทำให้ต้องสร้างโรงงานเพิ่มกำลังการผลิต ทำให้โตเร็วมากและไม่ต้องใช้เงินจากข้างนอกเลย นอกจากนี้ยังเน้นการขายที่ตลาด เพราะรับเงินเป็นเงินสด แทนที่จะขายในห้างสรรพสินค้าอย่างเช่น เซ็นทรัล เพราะต้องปล่อยเครดิตนานหลายเดือน ซึ่งก็เป็นเทคนิคการบริหารเงินทุนที่ทำให้บริษัทเติบโตจนสามารถเข้าตลาดหลักทรัพย์ได้ และเมื่อทำได้ถึงขั้นนั้นก็มีเงินทุนจากต่างประเทศมาให้หลายร้อยล้านบาทได้อย่างไม่ยากนัก

นอกจากนี้ภายในเล่มยังมีเรื่องราวบทเรียนความผิดพลาดของเขาอีกอย่างคือ การจับปลาหลายมือ หรือการธุรกิจหลายอย่างมากเกินไปนั่นเอง และทำให้ต้องเสียเงินไปหลายสิบล้าน แถมยังทำให้ขาดสภาพคล่องอย่างหนักและมีหนี้เพิ่มขึ้นมาอย่างมากมาย เช่นการตั้งบริษัทขึ้นมาถึง 30 บริษัท ทำทั้งอสังหา (เพราะเห็นคนอื่นทำแล้วรวย) ทำธุรกิจนำเข้าส่งออกผลไม้ โดยเคยมีการส่งออกแตงโมแต่พอส่งทางเรือไปถึงปรากฎว่าแตงโมระเบิดหมด ค่าเสียหายจากครั้งนั้นหลายล้านบาทซึ่งถือว่าเยอะมากเมื่อ 20 ปีก่อน ต้องเจรจากับเจ้าหนี้และต้องใช้หนี้อยู่หลายปีกว่าจะหมด สุดท้ายก็ได้บทเรียนว่า อย่าทำสิ่งที่ไม่ถนัดและอย่าจับปลาหลายมือ (บทเรียนเดียวกับวอร์เร็นบัฟเฟตเป๊ะ) นอกจากนี้เมื่อวิกฤตปี 40 มาถึง ทำให้หนี้จาก 300 ล้านกลายเป็น 600 ล้านก็แย่อีก จนคุณเจริญคิดถึงกับขนาดว่าอาจจะหนีไปต่างประเทศก็คือล้มบนฟูกไม่ต้องรับผิดชอบหนี้ แถมยังมีเงินเหลืออีกหลายร้อยล้านบาท แต่เขาก็ไม่เลือกทางนี้ แต่เลือกที่จะเจรจากับเจ้าหนี้เพื่อพยายามยืดหนี้ ลดหนี้ หรืออะไรก็ตามแต่ไม่มีการหนี และจะติดต่อเจ้าหนี้ไปเองด้วยซ้ำ นับว่าเป็นคนที่มีความกล้าหาญอย่างยิ่ง สุดท้ายจึงได้กลายสาเป็น ส.ขอนแก่นในปัจจุบันซึ่งมีกำไรปีละหลายสิบล้านบาท มีรายได้ปีละหลายพันล้านบาท และโลดแล่นอยู่ในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย

ท้ายเล่มยังมีแถมด้วยเรื่องราวของลูกชายทั้งสองคนรวมทั้งภรรยาที่ร่วมต่อสู้มากับคุณเจริญซึ่งน่าจะเขียนจากตัวพวกเขาเองทำให้ได้เรียนรู้เรื่องราวระหว่างพ่อแม่ลูกของครอบครัวนี้อีกด้วยครับ หนังสือเล่มนี้ไม่ยาว เล่มเล็กๆ อ่านแล้วหยุดแทบไม่ได้ ได้ความรู้เยอะ เทคนิคการทำธุรกิจที่ไม่ได้หาอ่านง่ายๆทั่วไป เป็นสิ่งที่กลั่นมาจากประสบการณ์การทำงานทั้งใน CP และการออกมาเป็นเถ้าแก่ผัดแหนมผัดหมูหยองในตลาด นำออกมาเขียนเฉพาะสิ่งที่สุดยอดจริงๆทั้งนั้น เป็นหนังสือธุรกิจเกรด A+ อีกเล่มหนึ่งครับ
แกะรอยหยักสมอง รวยหุ้นหมื่นล้าน ภาค 1
4
ไม่ค่อยมีผลกับชีวิตการลงทุนของผมเท่าไหร่ (หรือไม่มีเลย)
โดย: ลักกี้แมน วันที่เขียนรีวิว: 24 ตุลาคม พ.ศ. 2556

คำเตือน: หนังสือเล่มนี้เป็นหนังสือที่ผู้เขียนเรียบเรียงมาจาก blog ส่วนตัวของเขาเพราะฉะนั้นท่านสามารถหาอ่านได้ฟรีบนอินเตอร์เนท *0* ล้อเล่น... ในหนังสือเล่มนี้แต่ละหัวข้อจะเขียนอย่างกะทัดรัด อ่านง่าย และ ใช้ภาษาที่มีความเป็นเฉพาะตัวของผู้เขียนเอง ซึ่งส่วนใหญ่ก็จะมาจากความคิดเห็นส่วนตัว ประสบการณ์การลงทุน แนวคิดในเรื่องต่างๆตั้งแต่สากเบือยันเรือรบ จนถึงเหตุการณ์ที่เขาได้ไปทำธุรกิจร้านอาหารในต่างประเทศและได้เรียนรู้เกี่ยวกับประสบการณ์ดังกล่าวอย่างไรบ้าง แต่ละบทความก็อย่างที่บอกละครัวว่าครอบคลุมไปทุกเรื่องทั้งความรู้รอบตัว เศรษฐกิจ ชีวิตวัยรุ่นปัจจุบัน การทำงาน การเล่นหุ้น ผลตอบแทนจากหุ้น และมีการเจาะลึกไปถึงหุ้นบางตัวด้วยซ้ำ เพราะฉะนั้นหนังสือเล่มนี้จะมีรูบแบบที่เป็นบทความสั้นๆหลายๆบทความที่ไม่ได้มีความปะติดปะต่อกันซักเท่าไหร่ ข้อดีคืออ่านสนุกและไม่เบื่อและได้เรียนรู้ความคิดของคุณภาววิทย์ ข้อเสียสำหรับผมคือยังหาหลักการที่ผมจะนำมาปรับใช้จริงไม่ค่อยได้ซักเท่าไหร่ ถ้าท่านต้องการหนังสืออ่านสนุกๆๆ ได้ความรู้ทั่วไปไม่ว่าจะเรื่องหุ้น การลงทุน การใช้ชีวิต และอื่นๆอีกมากมาย ก็ไม่ควรพลาดหละครับ
ลงทุนสวนกระแสอย่าง...แอนโทนี โบลตัน : Investing Against the Tide
5
อ่านเสริมเพิ่มเติมจากหนังสือของปีเตอร์ลิ้นช์ได้ครับ
โดย: ลักกี้แมน วันที่เขียนรีวิว: 23 ตุลาคม พ.ศ. 2556

หนังสือเล่มนี้มีจุดเด่นตรงที่ก่อนจะเริ่มบทใหม่จะมีการนำ quote จากนักลงทุนที่เก่งๆ มาแสดงใว้และทำให้เราสามารถจดจำหลักการที่สำคัญได้ดียิ่งขึ้น ต้องยอมรับว่า แอนโทนี โบลตัน นั้นเป็นนักลงทุนแนว VI หรือ นักลงทุนแนวพื้นฐาน เพราะฉะนั้นหนังสือเล่มนี้ส่วนใหญ่จะหนักไปในทาง value investment เช่น การดูผู้บริหาร การวิเคราะห์ตัวเลขทางการเงิน การประเมินมูลค่าหุ้น โดยรวมแล้วการอ่านให้ความรู้สึกที่ดี คล้ายๆอ่านงานเขียนของ ปีเตอร์ลินช์ มันจึงเป็นหนังสือที่เสริมจากหนังสือการลงทุนแนว VI เล่มอื่นๆได้เป็นอย่างดี
Think Like Zuck คิดแบบอัจฉริยะ มาร์ก ซักเกอร์เบิร์ก
5
แปลได้ดีในระดับหนึ่ง มีข้อมูลเยอะปานกลาง
โดย: ลักกี้แมน วันที่เขียนรีวิว: 22 ตุลาคม พ.ศ. 2556

หนังสือเล่มนี้เป็นหนังสือที่เกี่ยวกับเฟซบุ๊คและมาร์กซักเกอร์เบิร์กที่ดีอีกเล่มหนึ่งโดยเนื้อหาจะเล่าถึงหลักการทำธุรกิจของมาร์กและ coo ของ เฟซบุ๊คคือ เชอร์ริลแซนด์เบิร์กโดย จะเล่าว่าเขาเป็นคนที่มองการไกลมากๆ โดยช่วงแรกๆที่ก่อตั้งไม่ได้พยายามที่จะขายโฆษณาเพื่อหารายได้ให้มากที่สุด แต่จะเน้นการใช้งานที่ไม่ถูกรบกวนของ user เป็นอันดับแรก ซึ่งก็ทำให้เฟซบุ๊คโตเร็วมากๆ สุดท้ายก็มีคนใช้มากกว่า 1,000 ล้านคนภายในระยะเวลาเพียงไม่กี่ปี นอกจากนี้ภายในเล่มยังให้ตัวอย่างเกี่ยวกับธุรกิจอินเตอร์เน็ตอื่นๆที่มีหลักการดำเนินธุรกิจที่แตกต่างกัน อย่างเช่น zappos ที่ขายรองเท้าออนไลน์ โดยซีอีโอ โทนี่ เขาได้ใช้หลักการ ความสุขของลูกค้ามาเป็นอันดับหนึ่ง อย่างเช่นบริการส่งฟรี และถ้าไม่พอใจก็ให้ส่งรองเท้ากลับมาฟรี อีกต่างหาก นอกจากนี้การจะทำให้บริษัทบริการลูกค้าเช่นนี้ได้ต้องมีพนักงานที่มีความต้องการแบบเดียวกันกับ ceo ซึ่งก็ต้องเป็นเรื่องที่ต้องพยายามกันหนักมากเพื่อสร้างวัฒนธรรมองค์กรให้กระจายไปสู่พนักงานทุกคน

นอกจากนี้ยังมีคำคมจาก ceo อีกหลายต่อหลายคนที่ได้สร้างบริษัทที่ยิ่งใหญ่ในยุคนี้ อย่างเช่น สตีฟจอบส์ บิลเกต หรือ เจฟเบซอส ผู้ก่อตั้งอเมซอน ซึ่งภายในเล่มก็ได้เล่าว่าต้องผ่านการตำหนิจากผู้ถือหุ้นอย่างมากมาย แต่สุดท้ายแล้ววิสัยทัศน์ของเบซอสก็ได้แสดงให้เห็นผ่านการเติบโตของบริษัทว่า (โต 31% ติดต่อกันเป็นสิบปี) การมองระยะยาวโดยไม่หวังผลกำไรในระยะสั้นๆนั้น จะทำให้บริษัทสามารถมีความแข็งแกร่งกว่าในระยะยาวได้ ซึ่งทำให้เขาเหล่านี้กลายเป็นอภิมหาเศรษฐีเลยทีเดียว มาร์กนั้นได้ผ่านการทดสอบมาอย่างมากมาย โดยภายในเล่มได้เล่าว่าเขาต้องผ่านการโดนมาขอซื้อเฟซบุ๊คตั้งแต่ช่วงเริ่มต้นเลยทีเดียว ตั้งแต่มาขอซื้อ 10 ล้านดอลล์ 100 ล้านดอลล์ ไปจนถึง ยาฮูมาขอซื้อ 1,000 ล้านดอลล์ แต่เขาก็ไม่ขายเพราะว่าเงินไม่ใช่สิ่งที่มาร์กต้องการอย่างแท้จริง โดยเขาเคยกล่าวว่า ความคิดดีๆอย่างเฟซบุ๊คนั้นไม่ได้มีมาบ่อยๆ และสิ่งที่เขาทำอยู่นั้นเป็นสิ่งที่เขาต้องการอย่างแท้จริง ไม่ใช่แค่จะขายเอาตังค์แล้วก็จบกัน โดยสิ่งนี้ได้ถูกแสดงออกมาจากนิสัยการใช้เงินของเขา ซึ่งก็ไม่ได้ใช้เงินเกี่ยวกับตัวเองซักเท่าไหร่ ดูได้จาก อพาร์เมนต์ที่เขายังอยู่ในช่วงที่เฟซบุ๊คมีมูลค่าหลายพันล้านดอลล์เข้าไปแล้ว

หนังสือเล่มนี้แปลได้ดีในระดับหนึ่ง ซึ่งอ่านแล้วถามว่าลื่นไหมก็บอกว่าลื่นซัก 85% แต่ก็บอกได้ว่าไม่มีประโยคไหนในเล่มเลยที่อ่าน 1 รอบแล้วไม่เข้าใจ ซึ่งถือว่าดีกว่าค่าเฉลี่ยของหนังสือแปลที่ผมได้เคยอ่านมา ก็คือแปลได้ดีทีเดียว นอกจากนี้ยังให้แง่คิดแถมมากับเรื่องราวของเฟซบุ๊คเสียอีก โดยแง่คิดนั้นจะเกี่ยวกับการคิดของคนเราว่า ควรมองระยะไกล ไม่เอากำไรเป็นที่ตั้งในการทำธุรกิจ (มาร์กเคยบอกว่า เขาทำเงินเพื่อจะให้ธุรกิจเดินได้ต่อ ไม่ใช่ทำธุรกิจเพื่อเงิน) ไม่คิดเล็กแต่ต้องฝันให้ไกลเข้าใว้ และต้องสร้างคนเพราะสุดท้ายแล้วคนคือผู้ที่จะตัดสินชะตาชีวิตของธุรกิจ วัฒนธรรมของบริษัทก็สำคัญเช่นกันเพราะถ้ามีการเล่นบ้างแล้วก็จะทำให้เกิดการจินตนาการและอาจจะช่วยในการสร้างสิ่งใหม่ๆขึ้นมาได้อย่างไม่คาดคิดมาก่อน โดยเฟซบุ๊คก็มีงานที่เรียกว่า hackathon เหมือนวิ่งมาราธอนแต่กลายเป็นการเขียนโปรแกรมมาราธอนแทนซึ่งบ่งบอกได้ถึงสิ่งที่เขาได้ให้ความสำคัญกับวิศกรของบริษัทเป็นอย่างมากที่จะต้องเป็นคนที่เทคนิคอลในระดับสูง

ท้ายเล่มจะมีการคัดคำพูดที่ฟังย้อนหลังแล้วก็ดูตลกดีมาให้เราอ่านกันครับพูดออกจาคนที่มีความสามารถระดับสูงแต่อาจจะไม่สามารถมองเห็นได้ในระยะไกลครับ
- โทรทัศน์อาจจะเป็นไปได้ในทางทฤษฎีและเทคนิค แต่เป็นไปไม่ได้ในเชิงพาณิชย์และการเงิน
---ลีเดอฟอเรสต์ นักประดิษฐ์
- วิทยุไม่มีอนาคต เครื่องจักรบินได้ที่หนักกว่าอากาศเป็นไปไม่ได้ ส่วนเอ็กซ์เรย์เป็นแค่เรื่องหลอกลวง
---วิลเลียม ทอมสัน, ลอร์ดเคลวิน นักวิทยาศาสตร์ชาวอังกฤษ ปี 1899
- โทรศัพท์นี้ มีข้อบกพร่องมากเกินกว่าจะใช้เป็นเครื่องมือสื่อสารได้จริง โดยธรรมชาติแล้ว อุปกรณ์นี้ไม่มีคุณค่าอะไรต่อเราเลย
---บันทึกช่วยจำในเวสเทิร์นยูเนี่ยน ปี 1876

บิลเกตได้กล่าวใว้ว่า

We always overestimate the change that will occur in the next two years and underestimate the change that will occur in the next ten. Don't let yourself be lulled into inaction.

แปลออกมาเป็น เราจะคำนวนความเปลี่ยนเแปลงที่จะเกินขึ้นในอีกสองปีข้างหน้าสูงเกินไปเสมอ และ จะคำนวนความเปลี่ยนแปลงที่จะเกิดขึ้นในสิบปีข้างหน้าต่ำเกินไปอยู่เสมอ อย่าให้การคำนวนเหล่านี้หลอกให้เราทำอะไรลงไป(เพราะมันจะผิดเวลา)
ทักษิณ ชินวัตร ตาดูดาว เท้าติดดิน
5
โดย: ลักกี้แมน วันที่เขียนรีวิว: 21 ตุลาคม พ.ศ. 2556

ชื่อหนังสือเล่มนี้คุ้นมากๆเหมือนกับว่าผมจะเคยอ่านมันมารอบนึงแล้วเมื่อหลายปีก่อน แต่ก็จำไม่ได้แล้วว่าเนื้อหาเป็นอย่างไรบ้าง และเมื่อก่อนนั้นผมก็ยังเด็กยังไม่ได้เริ่มทำธุรกิจเมื่ออ่านก็คงไม่ได้อะไรซักเท่าไหร่ แต่เมื่อหนังสือเล่มนี้ได้ออกมาอีกครั้งหนึ่งก็ได้อ่านอีกครั้งและพบว่าหนังสือเล่มนี้เป็นหนังสือที่ดีมากๆ เหตผลคือมันถูกเขียนด้วยตัวคุณทักษิณเอง และเนื้อหาประมาณ 75% เป็นเรื่องประวัติและประสบการณ์การทำงานของคุณทักษิณที่ต้องผ่านร้อนผ่านหนาว เป็นหนี้หลายร้อยล้านบาท ต้องทำธุรกิจเจ๊งมาเยอะหลายธุรกิจ ก่อนที่จะมาประสบความสำเร็จกับธุรกิจโทรคมนาคม ซึ่งได้แสดงให้เห็นว่าเขาเป็นคนอย่างไร ซึ่งก็บอกได้ว่าไม่เคยท้อแท้ไม่ว่าจะเจ๊งไปหลายรอบมากๆ ซึ่งผมที่เคยอ่านหนังสือของผู้ที่ประสบความสำเร็จมามากมายหลายคน ก็พบว่านี่คือนิสัยที่นักธุรกิจที่ประสบความสำเร็จมีเหมือนกันทุกคน ไม่ว่าบางคนจะเรียนสูงเรียนต่ำหรืออายุมากอายุน้อยแต่ทุกคนล้วนแล้วแต่ต้องผ่านการทำธุรกิจที่เจ๊งมาแล้วทั้งสิ้น

หลายคนอาจจะทราบว่าคุณทักษิณได้ขายหุ้นชินคอร์ปไปด้วยจำนวนเงินที่สูงมากประมาณ 70,000 กว่าล้านบาท แต่แท้จริงแล้วก่อนหน้าที่จะมีชินคอร์ปนั้นเขาได้ทำธุรกิจมาเยอะมาก เริ่มตั้งแต่ขายผ้าไหม ซึ่งคุณพจมานซึ่งได้มาช่วยขายก็ต้องบอกว่ากินไข่ต้ม หรือขายได้ 0 บาทนั่นเอง หลังจากทำแค่ 1 เดือนก็เลิกเพราะคุณทักษิณมีหลักการว่าจะไม่สู้ในสงครามที่แพ้แหงแน่นอน แล้วก็ได้เรียนรู้จากเพื่อนว่าตอนนี้ธุรกิจหนังดีมาก โดยหนังเรื่องแรกที่นำไปฉายคือเรื่องบ้านทรายทอง โดยที่ชอบเพราะนางเอกชื่อเหมือนภรรยาของตน ซึ่งก็ทำให้ได้กำไรมาถึง 1 ล้านบาท แต่หลังจากนั้นธุรกิจหนังก็แย่ลงเรื่อยๆเพราะดาราดังได้เปลี่ยนคนไปและหนังที่ดังๆเขาก็ไม่ได้ซื้อเอาใว้ เลยทำให้ต้องหาธุรกิจอื่นมาทำต่อเพราะได้มีหนี้เกิดจากธุรกิจหนังถึง 30 ล้านบาท โดยธุรกิจต่อมาคือทำคอนโดมิเนียมขาย ซึ่งก็ต้องบอกว่าเจ๊งอีกเช่นเคยเนื่องจากเพราะหลายเหตผล อย่างเช่น สมัยก่อนคนไม่นิยมอยู่ตึกสูง และดันมีกฎหมายใหม่ที่ห้ามไม่ให้สร้างตึกแถวนั้นสูงกว่า 7 ชั้น ซึ่งตอนแรกเขาคำนวนว่าจะสร้าง 15 ชั้นทำให้รายได้หายไปถึง 8 ชั้น แถมช่อง 3 ยังเอาหนังเรื่อง ตึกนรกคอนโดมิเนียม มาฉายทำให้คนยิ่งกลัวกันเข้าไปใหญ่ สรุปคือจาก 90 ห้อง ขายได้เพียง 10 ห้องแถมยังเป็น 10 ห้องที่ขายให้กับเพื่อนญาติคนรู้จักอีก ธุรกิจนี้จึงทำให้หนี้จาก 30 ล้านเพิ่มขึ้นมากลายเป็น 50 ยิ่งแย่เข้าไปใหญ่

หลังจากนั้นจึงได้มาเริ่มทำธุรกิจคอมพิวเตอร์ซึ่งเป็นการไปซื้อจากต่างประเทศและนำมาให้บริษัทในประเทศไทยเช่า ซึ่งธุรกิจนี้เป็นธุรกิจที่ทำให้พอหายใจได้มากขึ้นแต่ก็ต้องมาเจอวิกฤตลดค่าเงินบาทใน ปี 2527 อีกทำให้หนี้ที่เกิดจากการซื้อขายเป็นเงินต่างชาติต้องทำให้หนี้เพิ่มขึ้นมารวมเบ็ดเสร็จกลายเป็น 200 ล้านบาท ซึ่งเขาก็คิดอีกว่า เอ่อทำธุรกิจคอมพิวเตอร์มีกำไรปีละ 10 ล้านบาท ซึ่งในอนาคตจะต้องมีคู่แข่งเพิ่มมากขึ้นคงต้องลดน้อยลงอีก แล้วอีกกี่ปีกว่าจะใช้หนี้ 200 ล้านหมด ทำให้เขาหยิบหลักการเดิมมาใช้คือ ทำธุรกิจใหม่ให้ใหญ่กว่าเก่าเพื่อนำมาโปะหนี้ของธุรกิจเดิม ซึ่งธุรกิจต่อไปคือจุดพลิกผันโดยสิ้นเชิงมันคือ ธุรกิจ เซลลูล่าร์ 900 ซึ่งคุณทักษิณได้เข้าไปประมูลด้วยมูลค่าสัมปทานถึง 13,000 ล้านบาทซึ่งถือว่าสูงมาก ณ ขณะนั้นก็แน่นอนว่าชนะและได้สัมปทานไป หลังจากนั้นก็มีธุรกิจอื่นๆตามมาก็คือโฟนลิ้งค์ และดาวเทียม ซึ่งก็ถือว่าว่าเป็นความสำเร็จขั้นแรกๆของการกลายเป็นมหาเศรษฐีธุรกิจโทรคมนาคมของประเทศไทยของคุณทักษิณชินวัตร เป็นก้าวแรกของการก้าวไปสู่การขายธุรกิจได้ในมูลค่าหลายหมื่นล้านบาทนั่นเองครับ

โดยรวมแล้วหนังสือเล่มนี้ดีมากๆ เหมาะสำหรับนักธุรกิจทุกคนที่ต้องการศึกษาประวัตินักธุรกิจระดับต้นๆของประเทศไทยที่เขียนด้วยภาษาของตัวเอง อ่านได้ง่ายสุดๆ แถมยังเล่มเล็กกระทัดรัด เอาไปอ่านข้างนอกบ้านได้สบาย มีเนื้อหาไม่ยืดเยื้อ ตรงประเด็นสอดแทรกไปด้วยข้อคิดหลักการวิธีการทำธุรกิจ การตัดสินใจ การสร้างธุรกิจขนาดใหญ่ และอีกมากมายอยู่ภายในหนังสือเล่มเล็กๆเล่มนี้ครับ
พ่อรวยสอนลูก : Rich Dad Poor Dad
4
อันดับ 1 ที่ต้องอ่านสำหรับผู้ไม่มีพื้นฐานด้านการเงิน
โดย: ลักกี้แมน วันที่เขียนรีวิว: 20 ตุลาคม พ.ศ. 2556

เป็นหนังสือที่จะสอนให้ผู้อ่านได้รู้ว่าพ่อรวยกับพ่อจนต่างกันยังไง แล้วมันต่างกันยังไงหล่ะ ทั้งคู่ต่างกันที่วิธีคิดเรื่องเกี่ยวกับเงินนั่นเอง พ่อจนจะมองว่าเงินนั้นไม่สำคัญ แต่พ่อรวยจะมองว่าเงินน่ะสำคัญ ทำให้การกระทำก็ต่างกันเนื่องจากมุมมองต่างกัน เรื่องนี้ยังอธิบายเรื่องที่หลายคนเข้าใจผิด เช่นการที่คนเราจะมองว่าบ้านเป็นทรัพย์สิน แต่จริงๆแล้วมันกลับเป็นหนี้สินเนื่องจากว่าเราต้องจ่ายดอกเบี้ย และต้องซ่อมแซมบ้าน ยกเว้นว่าเราจะให้เช่า
ธุรกิจส่วนตัว เริ่มง่ายๆ คุณก็ทำได้
5
ดูเหมือนไม่มีอะไร แต่มีดีกว่าที่คิด
โดย: ลักกี้แมน วันที่เขียนรีวิว: 18 ตุลาคม พ.ศ. 2556

ดูแว่บแรกเหมือนจะเป็นแค่หนังสือ how to ธรรมดาที่ผู้เขียนไม่ได้มีประสบการณ์เกี่ยวกับการทำธุรกิจอะไรเลย แต่ที่จริงแล้วผู้เขียนกลับเป็นนักธุรกิจที่ทำธุรกิจเกี่ยวกับสำนักพิมพ์ด้านคอมพิวเตอร์ที่มีส่วนแบ่งทางการตลาดเป็นอันดับ 1 มาเป็นระยะเวลายาวนาน เพราะฉะนั้นท่านแน่ใจได้เลยว่าเนื้อหาต้องมาจากประสบการณ์จริง นำไปใช้ได้จริง และเป็นสิ่งที่ผ่านการลองผิดลองถูกมาแล้วจนถูก กลั่นกรองมาให้พวกเราได้ใช้โดยไม่ต้องไปมั่วเอง ถึงอย่างไรก็ตามหนังสือเล่มนี้ก็อาจจะยังตอบโจทย์ผู้ที่อยากจะเริ่มทำธุรกิจส่วนตัวไม่ได้ทั้ง 100% เพราะว่าเป็นหนังสือที่มีข้อมูลค่อนข้างน้อย และอาจจะเป็นขั้นพื้นฐานมากเกินไป จึงต้องใช้หนังสือเล่มนี้ควบคู่ไปกับหนังสือเล่มอื่นๆด้วยถึงจะดึงศักยภาพในตัวท่านออกมาได้อย่างเต็มที่ โดยรวมแล้วเป็นหนังสือที่อิงประสบการณ์จริงที่มือใหม่ควรอ่านอย่างยิ่ง 5 ดาวสำหรับมือใหม่ 4 ดาวสำหรับมือเก่า ครับ
คิดจะเป็นนายคน ต้องเก่งคน
5
เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการบริหารคนมากๆๆๆๆๆๆข้อมูลดีๆเยอะครับ
โดย: ลักกี้แมน วันที่เขียนรีวิว: 15 ตุลาคม พ.ศ. 2556

หนังสือเล่มนี้จะบอกคุณว่า ความสำเร็จนั้นไม่ได้อยู่ที่แค่การตัดสินใจ แต่ว่ามันอยู่ที่การสังเกต และการประมวลสิ่งที่อยู่รอบๆตัวเราต่างหาก โดยหนังสือเล่มนี้จะมีเรื่องของจิตวิทยา เรื่องของการทำธุรกิจอย่างชาญฉลาด รวมไปถึงมีตัวอย่างการโน้มน้าวผู้คนซึ่งใช้โดย FBI และอื่นๆอีกมากมาย นอกจากนี้ยังมีเทคนิคหลายเทคนิคที่นำมาใช้กับคนไม่ว่าจะเป็นใครก็ตาม หรือใช้ในสถานการณ์ต่างๆที่ไม่เหมือนกัน ตั้งแต่เทคนิคการได้ความเชื่อมันของลูกค้ากลับคืนมา ไปจนถึงการทำให้คนทำงานร่วมกันได้ในสภาพแวดล้อมต่างๆของการทำธุรกิจ หนังสือเล่มนี้เหมาะอย่างยิ่งสำหรับผู้บริหาร (หรือผู้บริหารในอนาคต) ทุกท่าน
วิธีพาตัวเองออกจากกล่องใบเล็ก
5
เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการคิดนอกกรอบ
โดย: ลักกี้แมน วันที่เขียนรีวิว: 15 ตุลาคม พ.ศ. 2556

หนังสือเล่มนี้ได้ถูกตีพิมพ์มาตั้งแต่ปี 200 และได้กลายมาเป็นหนังสือเบสต์เซลเลอร์(หนังสือขายดีสุดยอด)โดยมียอดขายมากกว่า เจ็ดแสนเล่มและได้ถูแปลออกมามากกว่า 22 ภาษาซึ่งภาษาไทยก็เป็นหนึ่งในนั้น ภายในหนังสือเล่มนี้จะกล่าวถึงเรื่องของนักธุรกิจคนหนึ่งซึ่งได้ประสบกับปัญหาทั้งกับที่อออฟฟิศและที่บ้าน เรื่องราวต่างๆเข้าใจง่ายและไม่ซับซ้อน ซึ่งคำพูดแต่ละคำนั้นล้วนแล้วแต่มีเหตุมีผลมารองรับ ผู้เขียนได้กล่าวว่าเราทุกคนล้วนแล้วแต่ต้องประสบกับการที่เรามองไม่เห็นปัญหาอยู่ตลอดเวลา และเราทุกคนล้วนแล้วแต่หลอกตัวเองอยู่เสมอๆ เราทำลายความสัมพันธ์กับคนอื่นทั้งในที่ทำงานและที่บ้านอย่างไม่รู้ตัว และสิ่งที่เราทำนั้นล้วนแล้วแต่ทำให้เกิดสิ่งที่ตรงกันข้ามกับสิ่งที่เราคิดว่าจะเกิดขึ้นจากการกระทำของเรา

ส่วนแรกของหนังสือเล่มนี้จะอธิบาย ถึงการหลอกตัวเองและกล่อง ส่วนที่สองจะอธิบายว่าเราเข้าไปในกล่องได้อย่างไร ส่วนที่สามจะอธิบายถึงวิธีการที่จะพาตัวเองออกมาจากกล่อง ในขณะที่ผมอ่านหนังสือเล่มนี้ก็ต้องประหลาดใจมากที่สามารถเขียนออกมาได้ดีโดยเฉพาะวิธีการเรียบเรียงเรื่องราวต่างๆของแต่ละตัวละครเพื่อแสดงให้เราเห็นถึงการหลอกตัวเองของเรา โดยผู้เขียนจะบอกว่าสุดท้ายแล้ว คำตอบ จะไม่ได้อยู่ในวิธีการหรือหลักการต่างๆที่ศึกษาได้ทั่วไป และไม่ได้ถูกเรียนรู้จากการเพิ่มความสามารถด้านการสื่อสารหรือการเปลี่ยนนิสัย และจะไม่มีคำตอบในการเปลี่ยนคนอื่นให้เข้ากับความคิดของเราเอง แต่คำตอบจะอยู่ในการเปลี่ยนตัวเราเอง

หนังสือเล่มนี้เป็นหนังสือที่ไม่ยาว (ออกจะสั้นด้วยซ้ำ) อ่านไม่นานก็จบสำหรับคนอ่านเร็ว อาจจะไม่ถึง 5 ชั่วโมงหรือแม้แต่ 2-3 ชั่วโมงก็น่าจะอ่านจบได้ไม่ยาก โดยเนื้อหาเป็นแนวธุรกิจแต่จริงๆแล้วหนังสือเล่มนี้เหมาะสำหรับทุกคน ทั้งผู้นำในองค์กรต่างๆ ผู้ตามในองค์กรต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นธุรกิจที่เน้นกำไรหรือองค์กรเพื่อการกุศลก็ตาม ส่วนตัวผมเองแล้วได้อ่านหนังสือแนวนี้มาหลายเล่มซึ่งส่วนใหญ่เมื่ออ่านจบแล้วก็ลืม แต่เล่มนี้ต้องบอกว่าต่างจากเล่มอื่นเพราะอ่านแล้วเหมือนจะซึมซับได้มากกว่าหนังสือเล่มอื่นครับ
เหนื่อยชั่วคราว สบายชั่วโคตร
5
โดย: ลักกี้แมน วันที่เขียนรีวิว: 14 ตุลาคม พ.ศ. 2556

หนังสือเล่มนี้ที่มีคุณพอล ภัทรพล ที่เป็นทั้งดารา พิธีกร นักร้อง มาเขียนหนังสือ ก็เดาไม่ออกว่าเนื้อหาจะเป็นอย่างไร และจะให้ความรู้หรือแรงบันดาลใจให้กับคนอ่านได้แค่ไหน ซึ่งเมื่อผมอ่านจบแล้วก็ต้องบอกว่าค่อนข้างพอใจกับหนังสือเล่มนี้พอสมควร เพราะมีข้อมูลที่น่าสนใจเยอะมาก และมีสไตล์การเขียนที่อ่านแล้วไม่เบื่อ มีเรื่องราวส่วนตัวเล่าให้ฟังบ้าง และมีหลักการในการดำเนินชีวิตที่บอกกล่าวอย่างไม่ค่อยจะปิดบังซักเท่าไหร่ (เช่นเรื่องหาเงินอย่างเต็มที่ 555) โดยในความคิดผมนั้น ถ้าพูดถึงนักแสดง นักร้อง ก็จะคิดว่าพวกเขานั้นไม่ค่อยจะสนใจเรื่องการลงทุน หรือการสร้าง passive income ซักเท่าไหร่ แต่กลับพบว่าคุณพอลนั้นคิดเรื่องนี้มาก่อนที่จะเข้ามาในวงการนักแสดงเสียอีก ซึ่งได้เรียนรู้ว่าตอนเด็กๆนั้นครอบครัวคุณพอลได้รับผลกระทบจากวิกฤตต้มยำกุ้ง ทำให้ไม่สามารถส่งเงินให้เขาเรียนต่อต่างประเทศได้ จนต้องกลับมาเรียนที่ประเทศไทย และตอนนี้เองที่ทำให้เขาได้เรียนรู้ถึงความสำคัญของเงิน โดยเขาได้เข้าสมัครเป็นพิธีกร ได้เข้ารอบท้ายๆแต่ก็ต้องตกรอบ โดยที่ชวดเงิน 50,000 แต่สุดท้ายก็ประสบความสำเร็จได้มาเป็นนักแสดงและพิธีกร ( เขายังเคยเขียนจดหมายไปหาเศรษฐีอันดับต้นๆของประเทศหลายๆคนเพื่อขอทุนการศึกษา ซึ่งเป็นสิ่งที่สุดยอดมากๆ ไม่น่าเชื่อว่าจะมีคนกล้าทำถึงเพียงนี้ = = )

คุณพอลได้เล่าถึงสิ่งที่เขาคิดว่าในเมื่อเงินสำคัญขนาดนี้ เขาก็จะต้องหามาให้ได้เพื่อที่จะได้มาซึ่ง Financial freedom หรือ อิสระภาพทางการเงิน ซึ่งเมื่อเขาได้ปรึกษากับที่ปรึกษาทางการเงินแล้วก็ต้องช็อคอย่างแรง เพราะคำนวนเงินที่ต้องใช้เมื่อเกษียณออกมาได้ ตัวเลขคือ 300 ล้านบาท!!! ทำให้เขาต้องค้นหาวิธีการได้มาซึ่งตัวเลขดังกล่าว... และก็ได้ไปพบว่าการได้รายได้มานั้นจะมีอยู่เพียง 2 รูปแบบเท่านั้นคือ แบบ Active และแบบ Passive ซึ่งแบบแรกคือต้องทำงานลงแรงลงเวลาถึงจะได้เงินมา แบบที่สองได้รายได้โดยอยู่เฉยๆเงินก็ไหลมาเทมานั่นเองครับ

จากนั้นก็ได้เขียนถึง 6 รูปแบบในการสร้าง passive income คือ
1. สินทรัพย์ทางการเงิน
เช่น เงินปันผลจากหุ้น ดอกเบี้ยจากหุ้นกู้

2. สินทรัพย์ทางปัญญา
เช่นสิทธิบัตรต่างๆที่จะต้องมีคนจ่ายเงินให้เรา เมื่อต้องการนำสินทรัพย์ทางปัญญาของเราไปใช้ เช่น เพลง หนังสือ

3. อินเทอร์เน็ตมาร์เก็ตติ้ง
คือ เว็บไซต์ที่เราทำให้มันเดินได้ด้วยตัวของมันเองโดยที่เราไม่ต้องออกแรงอะไรเพิ่ม เช่นการขายโฆษณาบนเว็บไซต์ที่มีคนเข้าทุกวันๆ

4. อสังหาริมทรัพย์
การซื้อคอนโดหรือบ้านเพื่อปล่อยเช่า

5. เฟรนไชส์
เช่นเพรนไชส์ 7-11 ที่เมื่อลงเงินก้อนแล้วจะมีรายได้เข้ามาโดยที่เราไม่ต้องไปลงทุนสร้างระบบเองหรือไม่ต้องลงไปทำงานเอง

6. ธุรกิจเครือข่าย
ต้องหาบริษัทที่มีระบบดีๆ และสามารถสร้างให้เครือข่ายของเราทำงานได้ด้วยตัวของมันเอง

ซึ่งทางที่ว่ามานี้ก็มีหลายทางที่คนอ่านอาจจะบอกว่ารู้หมดแล้ว และมีหลายทางที่พอได้ยินชื่อก็อาจจะร้องยี้ว่า ไม่จริง หรือ ไม่ชอบไม่อยากทำ แต่ถ้าอ่านผ่านๆอาจจะพลาดของดีในบางบทได้ เช่น ในบทอินเทอร์เน็ตมาร์เก็ตติ้งที่จะพูดถึงบริษัท อีคอมเมอร์ซเจ้าใหญ่อย่าง amazon ที่มีโมเดลการทำธุรกิจแบบไม่ต้องสต็อคสินค้าแต่จะทำตัวเป็นคนกลางโดยการให้คนอื่นเอาสินค้ามาขายบนเว็บของตน และเมื่อมีลูกค้ามาสั่งซื้อก็จะทำการส่งผ่านคำสั่งซื้อไปที่เจ้าของสินค้าให้ส่งของไปโดยตรงเลย ซึ่งผมก็แปลกใจเพราะน้อยคนนักจะได้เรียนรู้เกี่ยวกับโมเดลธุรกิจของบริษัทต่างชาติ

สำหรับจุดเด่นในหนังสือเล่มนี้นั้นคือ อ่านง่าย อ่านได้เร็ว คุณจะได้เรียนรู้ว่าดาราเขาคิดกันยังไง (อิอิ) อ่านสนุก เข้าใจไม่ยาก และได้ข้อคิดบางประการ ที่สำคัญอีกอย่างที่ผมชอบมากคือก่อนที่จะขึ้นบทใหม่ทุกบทจะมี คำคม ที่โคตรจะคม มาคอยกระตุ้นให้เราต้องพยายามพัฒนาตัวเอง ซึ่งก็ช่วยได้มากเพราะแต่ละคำคมนั้นช่างยอดเยี่ยมและอ่านแล้วก็ไฟลุกเลยทีเดียว
ตัวอย่างเช่น (เป็นภาษาอังกฤษนะครับเพราะบางทีแปลแล้วความหมายเปลี่ยน)

- When you want something you've never had, You have to do something you've never done.

- The more you sweat in practice, the less you bleed in battle.

- Motivation is what gets you started. Habit is what keeps you going.

- Don't give up, beginning is always the hardest.

- If it doesn't chalenge you, it doesn't change you.

- Today I will do what other won't so tomorrow I can do what others can't.

อ่านแล้วก็สุดยอดเลยทีเดียวครับ ยังมีอีกนะครับ แต่เอาออกมาเขียนไม่หมดเด่วจะมือหงิกเสียก่อนครับ
บัฟเฟตต์-โซรอส ลงทุนถูกนิสัย ยังไงก็ชนะ The Winning Investment Habits of Warren Buffet & George Soros
5
เนื้อหาเยอะและมีประโยชน์มากๆครับ
โดย: ลักกี้แมน วันที่เขียนรีวิว: 14 ตุลาคม พ.ศ. 2556

ด้วยจำนวนหน้าถึง 400 กว่าหน้า และ ตัวหนังสือที่แน่นเอี๊ยดไปด้วยข้อมูลและความรู้ของสองนักลงทุนที่เก่งกาจที่สุดในโลกสองคน สองสไตล์การลงทุน หนังสือเล่มนี้จึงเป็นอีกเล่มที่ผมไม่พลาด ในเล่มจะพบว่ามีวิธีการเขียนที่ไม่เหมือนหนังสือเล่มอื่น เพราะจะมีการเปรียบเทียบวิธีการในการลงทุนของทั้งสองคนควบคู่กันไปตลอดทาง เราจะพบว่าบัฟเฟตและโซรอสนั้น มีสิ่งที่ทั้งเหมือนและไม่เหมือนกันหลายอย่าง แต่สิ่งหนึ่งที่ทั้งคู่มีเหมือนกันก็คือ การยึดมั่นในหลักการของตัวเอง และเขาทั้งสองคนสามารถพัฒนามันขึ้นมาเป็นสไตล์การลงทุนเฉพาะตัวของตัวเอง แต่ถ้าพูดถึงความต่างกันของทั้งคู่แล้ว ก็มีหลายเรื่องที่ต่างกันราวกับฟ้ากับดินเลยทีเดียว เช่น เรื่องมุมมองการมองหุ้นเป็นธุรกิจ ซึ่งบัฟเฟตจะมองเช่นนั้น แต่โซรอสนี้ไม่ใช่เลย เขาจะเห็นราคาของสินทรัพย์เป็นเพียงแค่ trend ที่จะมีจุดกลับตัวของมัน และเขาจะสามารถซื้อขายมันได้ตลอดเวลา บางครั้งก็ตามระบบและบางครั้งก็ตามสัญชาตญาณของตัวเขาเอง บัฟเฟตนั้นทำธุรกิจประกันและใช้ float จากธุรกิจประกันในการลงทุนในธุรกิจต่างๆ มีทั้งแบบซื้อทั้งบริษัท และแบบเข้าซื้อหุ้นในตลาดหลักทรัพย์ ซึ่งเขาจะถือยาวมาก บางทีเป็นเวลา 20-30 ปี แต่โซรอสบริหารกองทุนเฮจด์ฟันด์ ซึ่งต้องมีการแสดงผลตอบแทนให้นักลงทุนดูทุกๆระยะเวลาหนึ่ง แค่โครงสร้างพวกนี้ก็ทำให้การบริหารของทั้งคู่นั้นต้องแตกต่างกันอย่างเลือกมิได้แล้ว ท่านผู้อ่านทำใจได้เลยว่าหลังจากอ่านหนังสือเล่มนี้แล้ว หลักการและวิธีการลงทุนของท่านจะต้องถูกลับให้เฉียบคมขึ้นอย่างแน่นอน
เล่นหุ้นในภาวะวิกฤติ
5
แฟนพันธ์แท้ ดร. นิเวศน์ ยังไงก็ต้องมีเล่มนี้ครับ
โดย: ลักกี้แมน วันที่เขียนรีวิว: 13 ตุลาคม พ.ศ. 2556

ผมไม่แน่ใจว่าบทความในหนังสือเล่มนี้เป็นการรวบรวมเอามาจากบทความที่เคยลงในหนังสือพิมพ์มาก่อนแล้วหรือเปล่า แต่ถ้าใครที่ไม่เคยอ่านบทความเหล่านี้มาก่อนก็ควรที่จะต้องซื้อหนังสือเล่มนี้ หรือแม้แต่เคยอ่านแล้วแต่ต้องการที่จะหาหนังสือเล่มเดียวที่รวบรวมหลายๆ บทความใว้ในหนังสือเล่มเดียว ก็ควรจะซื้อเช่นกัน เพราะมันเป็นบทความจาก ดร. นิเวศน์ VI อันดับ 1 ของเมืองไทย ผู้ที่มีหลักการอันแน่วแน่ และผ่านการทดสอบมาแล้วเป็นระยะเวลากว่า 10 ปี ด้วยผลตอบแทนชนะตลาดแบบขาดลอย บทความแต่ละบทความจะไม่ยาวจนเกินไป อ่านเข้าใจง่าย แต่ลึกซึ้ง และล้วนแต่เป็น commonsense ไม่ใช่เรื่องที่เกินความสามารถของนักลงทุนมือใหม่ที่จะทำความเข้าใจเลย บทความทุกบทความจะมีความแตกต่างกันไป ไม่ใช่วนอยู่แต่แค่เรื่องหุ้น แต่มันมาจากความรู้จากการสังเกตสิ่งรอบข้างของ ดร. เอง บางบทเป็นเรื่องราวเกี่ยวกับนักลงทุนต่างประเทศ บางบทเกี่ยวกับเรื่องสินค้าหรือหุ้น commodity บางบทเป็นหลักการ VI ทั่วไป และบางบทก็เป็นหลักการการเลือกธุรกิจที่แข็งแกร่ง หรือประเภทของธุรกิจที่ดี และไม่ดี เป็นการวิเคราะห์ธุรกิจจากหลายๆ อุตสาหกรรมซึ่งก็มีข้อดีและข้อเสียแตกต่างกันไป สรุปว่า ถึงแม้หนังสือเล่มนี้จะเป็นเพียงเล่มหนึ่งในบรรดาหนังสือที่ ดร. ออกมาเป็นสิบเล่ม แต่มันก็นับว่าเป็นหนึ่งในเล่มที่ดีที่สุดเล่มหนึ่ง เหตุผลก็จากที่ผมรีวิวเอาใว้ข้างบนครับ
ทำธุรกิจส่วนตัว ใครว่ายาก
5
เล่มเล็กแต่ของดีไม่น้อยครับ อย่ามองหนังสือเพียงหน้าปกครับ ^^
โดย: ลักกี้แมน วันที่เขียนรีวิว: 10 ตุลาคม พ.ศ. 2556

เป็นหนังสือเล่มเล็กๆ ที่อ่านแล้วได้ความรู้เกี่ยวกับการเริ่มต้นทำธุรกิจ ตั้งแต่การหาหุ้นส่วน การจดเครื่องหมายการค้า การทำ cash flow การทำแผนธุรกิจ การทำใจให้ไม่กลัวว่าจะไม่มีสังคมคนทำธุรกิจ ขอบอกใว้ก่อนว่าวิธีดำเนินเนื้อเรื่องจะเป็นรูปแบบ คนสองคนพูดกัน เรื่องวิธีการทำธุรกิจ อาจจะทำให้ผู้อ่านบางท่านที่ไม่ถนัดการอ่านหนังสือแนวนี้ลำบากใจได้ แต่โดยรวมๆ ก็ต้องนับว่าเขียนได้เข้าใจง่าย ใช้ภาษาชาวบ้านที่ผมคิดว่าไม่น่าจะยากสำหรับคนที่ไม่เคยรู้เรื่องการทำธุรกิจมาก่อน ยิ่งคนที่ไม่ชอบหนังสือที่เน้นแต่หลักการ เอาแต่เรื่องในหนังสือแบบเรียนอย่างเช่นพวก 4Ps มาเขียนซ้ำไปซ้ำมาอาจจะถูกใจหนังสือเล่มนี้เป็นพิเศษ เพราะไม่มีเรื่องในแบบเรียนเลย แต่จะเป็นเหมือนกับเล่ามาจากประสบการณ์ของผู้เขียนที่นำมาเล่าในลักษณะคนคุยกันทำให้ไม่น่าเบื่อและได้อินไปกับเรื่องราวของคนแต่ละคนอีกต่างหาก หนังสือของ สนพ นี้ถ้าเทียบกับเล่มอื่นแล้ว เล่มนี้น่าจะเป็นจุดเริ่มต้นที่ดี เพราะเป็นเรื่องที่เกี่ยวกับการเริ่มต้นทำธุรกิจเลย ซึ่งเหมาะอย่างยิ่งสำหรับคนที่ต้องการทำธุรกิจส่วนตัวในระยะแรกเริ่มครับ
www.batorastore.com © 2024