Customer Reviews

4
เล่มนี้เป็นอีกเล่มที่อยากแนะนำให้ลองมาอ่านกันดูค่ะ สำหรับเราให้ 10 คะแนนเต็มเลยจ้า
โดย: moobig วันที่เขียนรีวิว: 27 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2558

เหมียวสามขา เป็นนิทานประเภทส่งเสริมคุณธรรมที่ได้รับรางวัลชนะเลิศโครงการ นานมี บุ๊คส์ อวอร์ด ประจำปี 2553 ที่บอกว่าเป็นนิทานประเภทส่งเสริมคุณธรรมก็เพราะเป็นนิทานที่สอนให้น้องๆ รู้จักการมีความรักความเมตตาต่อเพื่อนร่วมโลก โดยไม่แบ่งแยกหรือเลือกปฏิบัติเพียงเพราะสิ่งนั้นแตกต่างไปจากปกติ บางทีคนที่แตกต่างไปจากปกติหรือคนพิการ คนที่ไม่สมบูรณ์พร้อมเหมือนคนอื่นๆ ก็อาจจะเป็นคนที่มีจิตใจดีและเป็นที่รักของเราก็ได้ เจ้าเหมียวสามขาเป็นตัวแทนของคนประเภทนี้ค่ะ ชื่อว่าแปดแต้มซึ่งถูกเจ้าของเดิมนำมาทิ้งที่วัด เจ้าแปดแต้มต้องฝึกจับหนู แต่ก็ไม่เคยจับได้เพราะความพิการของตัวเอง จนกระทั่งมันได้พบกับนิดหน่อยคนที่เก็บมันไปเลี้ยง แปดแต้มกลัวว่าถ้าตัวเองจับหนูไม่ได้ก็จะถูกนิดหน่อยเอาไปทิ้ง เลยพยายามจับหนูทุกวัน แต่ไม่ว่ายังไงนิดหน่อยก็ไม่ได้สนใจ ตรงกันข้ามนิดหน่อยรักและดูแลเจ้าเหมียวแปดแต้มทุกวันเหมือนเดิม นิทานเรื่องนี้ก็เป็นนิทานที่ต้องการปลูกฝังคุณธรรมเรื่องความรักความเมตตาให้กับเด็กๆ อย่างที่บอกไปแล้ว การที่เด็กได้อ่านนิทานแบบนี้บ่อยๆ จะทำให้กลายเป็นคนที่มีจิตใจอ่อนโยนละเอียดอ่อน และเข้าใจในความแตกต่างไม่เลือกปฏิบัติ เป็นนิทานที่อาจจะไม่ได้มีเนื้อหาลึกซึ้งกินใจ แต่เป็นนิทานที่จะเน้นการปลูกฝังคุณธรรมให้กับเด็กๆมากกว่า ที่บ้านเรามีหนังสือนิทานแนวคุณธรรมเยอะมากค่ะ เล่มนี้เป็นอีกเล่มที่อยากแนะนำให้ลองมาอ่านกันดูค่ะ สำหรับเราให้ 10 คะแนนเต็มเลยจ้า แนะนำให้คุณพ่อคุณแม่อ่านให้ลูกๆฟังและสอนไปด้วย เป็นการสร้างความสัมพันธ์และปลูกฝังคุณธรรมไปในตัวเลยค่ะ
3
ถ้าคุณพ่อคุณแม่ได้ชวนน้องๆ มาทดลองปลูกถั่วกัน ก็น่าจะเป็นการต่อยอดจากนิทานเรื่องนี้ได้ดีเลยทีเดียว
โดย: moobig วันที่เขียนรีวิว: 27 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2558

เมล็ดถั่วน้อยผจญภัย เป็นนิทานแนววิทยาศาสตร์ที่จะให้ความรู้เกี่ยวกับการเจริญเติบโตของพืชให้กับน้องๆ เป็นนิทานวิทยาศาสตร์ชุดเดียวกับเรื่องแดนดี้ท่องโลกกว้างที่เราเคยรีวิวไปแล้วค่ะ เล่มนี้ก็จะคล้ายๆ เรื่องแดนดี้ท่องโลกกว้างนะคะ ใช้ตัวละครเอกเป็นเมล็ดถั่วซึ่งเหมือนจะน่ารักแต่เราว่าน่ารักแบบแปลกๆ มากกว่า 555 เริ่มจากเด็กน้อยปาเมล็ดถั่วออกไปนอกหน้าต่างซึ่งเป็นเวลาที่ฝนกำลังตกอยู่ ทำให้เมล็ดถั่วไปซ่อนตัวอยู่ใต้ดิน วันเวลาผ่านไปก็ค่อยๆ เจริญเติบโตกลายเป็นต้นถั่วเลื้อยไปตามต้นทานตะวันและโตขึ้นไปพร้อมๆกัน น้องๆ จะได้เรียนรู้กระบวนการเจริญเติบโตของพืชแบบง่ายๆ กระบวนการการพึ่งพาอาศัยกันของพืชตามธรรมชาติ ซึ่งสามารถประยุกต์ใช้ในความสัมพันธ์กับเพื่อนๆ และคนรอบข้างรวมถึงครอบครัวด้วย (อันนี้คุณพ่อคุณแม่คงต้องแนะนำเพิ่มเติม) นิทานเรื่องนี้น่าอ่านกว่าเรื่องแดนดี้ท่องโลกกว้างนะคะ เรื่องนั้นเนื้อหาไม่ได้โฟกัสไปที่เรื่องใดเรื่องหนึ่งแบบเรื่องนี้ ที่โฟกัสไปที่การเจริญเติบโตของต้นถั่ว ซึ่งเป็นพืชที่พบเห็นได้ง่ายกว่าดอกแดนดี้ท่องโลกกว้างแน่นอน ถ้าคุณพ่อคุณแม่ได้ชวนน้องๆ มาทดลองปลูกถั่วกัน ก็น่าจะเป็นการต่อยอดจากนิทานเรื่องนี้ได้ดีเลยทีเดียว อย่างเจ้าตัวเล็กหลานของเราก็ยังชวนเราลองซื้อถั่วมาปลูกดูเลย แสดงว่านิทานเรื่องนี้ไม่ได้ให้แค่ความรู้อย่างเดียว แต่ยังกระตุ้นให้เด็กๆ อยากลงมือทดลองทางวิทยาศาสตร์ด้วย ในตอนท้ายยังมีเรื่องความรู้เกี่ยวกับพืช อย่างเช่น เรื่องลักษณะการเจริญเติบโตแถมมาด้วย และปิดท้ายด้วยแบบฝึกเล็กๆน้อยๆให้น้องๆ ได้ลองประดิษฐ์ต้นไม้ของตัวเองกัน เป็นการสร้างความสัมพันธ์ที่ดีในครอบครัวด้วยค่ะ
3
รู้สึกว่าเนื้อหาจะยากไปหน่อยอ่ะค่ะ ต้องปรับเรื่องตัวการ์ตูนให้น่าสนใจอีกหน่อย
โดย: moobig วันที่เขียนรีวิว: 27 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2558

แดนดี้ท่องโลกกว้าง เป็นนิทานส่งเสริมการเรียนรู้ให้กับน้องๆ ค่ะ อยู่ในชุดวิทยาศาสตร์แสนสนุก ไขข้อสงสัยในใจหนู เจ้าแดนดี้ ดอกแดนดี้ไลออนสีเหลืองอร่ามเป็นนางเอกของเรื่องค่ะ แดนดี้เป็นเพื่อนกระต่ายกินต้นไม้ใบหญ้าเป็นอาหาร แต่เธอมักมีคำถามและสงสัยอยู่เสมอว่าทำไมพวกสัตว์เพื่อนของเธอจะต้องไปกัดกินใบหญ้าเหล่านั้นด้วย แดนดี้ไม่อยากเห็นต้นไม้ถูกสัตว์กินและก็ไม่อยากถูกกินเหมือนต้นไม้พวกนั้นด้วย เธออ้วนวอนให้ลมช่วยพัดเธอไปไกลๆ จนทำให้ได้เห็นแผ่นดินอันกว้างใหญ่ เธอได้เรียนรู้โลกกว้าง เข้าใจธรรมชาติของคน สัตว์ พืช ที่ต้องพึ่งพาอาศัยซึ่งกันและกัน น้องๆ จะได้เรียนรู้กลไกของสิ่งมีชีวิต การพึ่งพาอาศัย ความเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ แบ่งปัน ช่วยเหลือซึ่งกันและกัน เรียกได้ว่านิทานเรื่องนี้เปรียบเสมือนยิงปืนนัดเดียวได้นกสองตัว แต่เราว่านิทานเรื่องนี้ไม่น่าสนุกหรือสนุกน้อยลงก็ตรงที่ภาพประกอบที่เน้นความสมจริงมากเกินไป หลานเราบอกว่าไม่ค่อยชอบตัวการ์ตูนในเรื่องเท่าไหร่ อีกอย่างก็คือเจ้าแดนดี้ ชื่อเป็นดอกแดนดี้ไลออนสีเหลืองที่เป็นตัวเอกก็แทบจะมองไม่เห็นในนิทาน หลานก็สงสัยว่าเจ้าดอกแดนดี้หน้าตาเป็นยังไง ลำบากเราเลย 555 ต้องไปหาข้อมูลมาอธิบายให้เจ้าตัวเล็กฟังอีก เราไม่แน่ใจเหมือนกันว่าน้องๆ ที่อ่านหรือฟังนิทานเรื่องนี้แล้วจะรู้สึกหรือเข้าใจในเนื้อหาของนิทานหรือเปล่า เพราะรู้สึกว่าเนื้อหาจะยากไปหน่อยอ่ะค่ะ ต้องปรับเรื่องตัวการ์ตูนให้น่าสนใจอีกหน่อย เด็กๆคงชอบมากกว่านี้ เกือบลืมไปว่าในนิทานเรื่องนี้มีเกร็ดความรู้เล็กๆน้อยๆ เสริมลงไปด้วย เป็นเกร็ดความรู้เกี่ยวกับพืชอ่ะค่ะ อย่างเช่นพืชขยายพันธุ์ยังไง พืชอยู่ที่ไหนบ้าง โลกจะเป็นอย่างไรถ้าไม่มีพืช
3
อ่านแล้วยังไม่จุใจเต็มอิ่ม อยากจะให้เพิ่มเรื่องความสุขเล็กๆของถ้วยฟูลงไปให้มากกว่านี้อีกซักหน่อย
โดย: moobig วันที่เขียนรีวิว: 27 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2558

ผู้เขียนบอกว่านิทานเรื่องนี้เป็นนิทานที่ชวนให้เด็กๆ มองโลกในแง่ดี รู้จักเคารพตัวเอง ซึ่งเป็นกุญแจสำคัญที่จะทำให้เด็กๆ ใช้ชีวิตได้อย่างมีความสุข เราก็ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าการรู้จักเคารพตัวเองนั้นหมายความว่ายังไง แล้วนิทานเรื่องถ้วยฟูมีความสุขเล่มนี้เป็นการฝึกให้น้องๆเค้ารพตัวเองยังไง แต่เท่าที่เราอ่านดูเราคิดแค่ว่าตัวถ้วยฟูน่ารักดีหลานน่าจะชอบแล้วเราสามารถอ่านเล่มนี้ให้หลานฟังแล้วทำให้หลานยิ้มไปหัวเราะไปกับเราได้ เราสามารถชวนให้หลานยิ้มไปตามเจ้าถ้วยฟู หัวเราะตามถ้วยฟูจนท้องคัดท้องแข็ง ชวนหลานทำกิจกรรมสนุกๆ เหมือนกับถ้วยฟู นั่งคุยกันบนเตียงสองคน ทำให้หลานของเรารู้สึกมีความสุขในแบบง่ายๆ และเห็นว่าประโยชน์ของการมีความสุขจากเรื่องง่ายๆ นั้นเป็นยังไง นิทานเรื่องนี้ช่วยเรื่องที่ว่ามาได้จริงๆนะคะ เราไม่เคยเห็นหลานร้องจะเอาของเล่นแบบเด็กคนอื่นๆ เลย การจะอ่านนิทานเล่มนี้แบบเอาไปใช้ประโยชน์ได้ก็ต้องให้คุณพ่อคุณแม่อ่านให้ลุกๆฟังนะคะ ถ้าปล่อยให้น้องๆอ่านเอง รับรองว่าไม่เข้าใจแน่ๆ เผลๆจะเบื่อเอาซะก่อน ข้อเสียของนิทานเล่มนี้ จริงๆ ไม่อยากจะเรียกว่าเป็นข้อเสีย เรียกว่าเป็นเรื่องที่น่าเสียดายของนิทานเล่มนี้ก็คือ เป็นนิทานเล่มบางไปหน่อยค่ะ อ่านแล้วยังไม่จุใจเต็มอิ่ม อยากจะให้เพิ่มเรื่องความสุขเล็กๆของถ้วยฟูลงไปให้มากกว่านี้อีกซักหน่อย ก็จะเป็นนิทานที่สมบูรณ์แบบเลย สุดท้ายนิทานเล่มนี้เป็นนิทานที่เน้นความเรียบง่ายนะคะ ไม่ใช่นิทานที่เน้นภาพสวย เนื้อหาสนุกน่าติดตาม แต่ถึงอย่างนั้นก็เป็นอีกเล่มที่อยากแนะนำว่าอ่านแล้วได้ประโยชน์แน่นอน
3
เป็นหนังสือวิทยาศาสตร์ผสมวิชาสุขศึกษาค่ะ
โดย: moobig วันที่เขียนรีวิว: 27 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2558

มหัศจรรย์ร่างกายของหนู เป็นหนังสือสำหรับส่งเสริมความรู้ของเด็กเกี่ยวกับร่างกายของตัวเอง เป็นหนังสือวิทยาศาสตร์ผสมวิชาสุขศึกษาค่ะ น้องๆ จะได้เรียนรู้ว่าอวัยวะต่างๆในร่างกายของเรานั้นทำงานอย่างไร ทำหน้าที่อะไรบ้าง ไม่ว่าจะเป็น ตา หู จมูก ลิ้น ฟัน สมอง หัวใจ เรียกได้ว่าครบทุกอวัยวะสำคัญของร่างกายเลย นอกจากเรื่องการทำงานของอวัยวะของร่างกายคนแล้ว น้องๆ ยังจะได้เปรียบเทียบระหว่างอวัยวะของคนกับอวัยวะของสัตว์ชนิดต่างๆด้วยค่ะ ถึงแม้จะเป็นหนังสือที่เน้นการให้ความรู้กับน้องๆ แต่ก็ไม่ใช่หนังสือที่น่าเบื่อเลยนะคะ น่าจะเรียกได้ว่าเป็นความรู้เบื้องต้นมากกว่า เขียนสั้นๆ อ่านได้ง่าย มีรูปภาพประกอบเพื่อความเข้าใจค่ะ รูปภาพก็จะเป็นรูปวาดหรือการ์ตูน ไม่ใช่รูปแบบสมจริง ทำให้น้องๆอยากอ่านมากขึ้น นอกจากเรื่องหน้าที่และการทำงานของอวัยวะต่างๆ แล้ว น้องๆ ยังได้เรียนรู้เกี่ยวกับการดูแลสุขภาพร่างกายให้สะอาดแข็งแรงด้วย อย่างเช่นเรื่องของการเลือกรับประทานอาหารให้ร่างกายได้รับสารอาหารที่ครบถ้วน การดูแลทำความสะอาดร่างกาย การออกกำลังกายและการพักผ่อนให้เพียงพอ อีกเรื่องหนึ่งที่น่าสนใจคือการอธิบายว่าทำไมคนเราถึงมีรูปร่างหน้าตาแตกต่างกันซึ่งเป็นเรื่องของพันธุกรรม อย่าเพิ่งคิดว่าเป็นเรื่องยากนะคะ เพราะหนังสือเขียนออกมาได้ดีมากๆเลย อ่านเข้าใจง่ายมาก มีรูปภาพประกอบเยอะ เหมือนกับเป็นการปูพื้นฐานความรู้เกี่ยวกับร่างกายให้กับน้องๆ เล่มนี้เป็นเล่มที่แนะนำอีกเล่ม คุ้มค่าคุ้มราคาแน่นอน อย่าว่าแต่เด็กเลยค่ะ ผู้ใหญ่อย่างเราอ่านแล้วก็ได้ความรู้เหมือนกันเพราะมีหลายเรื่องที่ตัวเองก็ไม่เคยรู้มาก่อน เล่มนี้ขอให้ 10 คะแนนเต็มเลยค่ะ
3
ชวนหนูดูแลตัวเอง เป็นหนังสือสร้างสุขนิสัยสำหรับเด็กเล็กที่มีประโยชน์ทั้งกับตัวน้องๆ เองและมีประโยชน์กับคุณพ่อคุณแม่ในการดูแลน้องๆด้วย
โดย: moobig วันที่เขียนรีวิว: 27 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2558

ชวนหนูดูแลตัวเอง เป็นหนังสือสร้างสุขนิสัยสำหรับเด็กเล็กที่มีประโยชน์ทั้งกับตัวน้องๆ เองและมีประโยชน์กับคุณพ่อคุณแม่ในการดูแลน้องๆด้วย ที่บอกว่าเป็นประโยชน์กับน้องๆก็เพราะว่าน้องๆจะได้เรียนรู้พฤติกรรมต่างๆ ในชีวิตประจำวันทั้งที่ควรทำและไม่ควรทำ เพื่อที่จะได้ปรับปรุงแก้ไข ให้รู้จักดูแลร่างกายของตัวเองได้อย่างถูกต้อง สำหรับพฤติกรรมที่ไม่ควรทำนั้น มีทั้งหมด 10 พฤติกรรมด้วยกัน อย่างเช่น ชอบเล่นสะดือ ชอบดูดนิ้ว ชอบเอานิ้วแหย่เข้าไปในรูจมูก ชอบเลือกกินแต่ของที่ชอบหรืออยากจะกิน ไม่ชอบล้างมือก่อนรับประทานอาหารหรือหลังจากทำกิจกรรมต่างๆ ชอบกลั้นอุจจาระ ชอบนั่งดูโทรทัศน์ใกล้ๆ (หลานเราก็เป็นค่ะ) ไม่ชอบแปรงฟัน ทั้งตอนตื่นนอน ก่อนนอน หรือหลังกินข้าวเสร็จ ไม่ชอบสระผม (ซึ่งหลานเราก็เป็นอีกเหมือนกัน 555) ชอบเล่นอวัยวะเพศตัวเอง ในทุกๆ พฤติกรรมจะมีตัวอย่างที่น้องๆ เคยทำเป็นประจำจนติดเป็นนิสัย และก็จะบอกข้อห้ามแล้วเหตุผลว่าทำไมไม่ควรทำแบบนั้น เล่มนี้คุณพ่อคุณแม่ควรอ่านและแนะนำลูกๆ ไปพร้อมๆกันจึงจะได้ผลดีนะคะ เราก็อ่านและสอนหลานไปด้วยค่ะ นอกจากเรื่องสำหรับน้องๆโดยตรงแล้ว ยังมีเนื้อหาในส่วนที่ว่าด้วยคำแนะนำสำหรับคุณพ่อคุณแม่ในการแก้ปัญหาเวลาที่ลูกๆมีพฤติกรรมไม่ดีทั้ง 10 ข้อที่บอกมาแล้ว เรียกว่าเล่มนี้เป็นคู่มือในการเลี้ยงลูกหลานอีกเล่มหนึ่งที่ค่อนข้างครบถ้วนสำหรับคุณพ่อคุณแม่ที่กำลังเจอปัญหาเหล่านี้อยู่ เพราะจะได้ทราบถึงเหตุผลที่เด็กๆ ไม่ควรทำพฤติกรรมเช่นนั้น และวิธีการแก้ไข้พฤติกรรมดังกล่าวอย่างถูกต้องด้วย เป็นหนังสือที่คุ้มค่ามากสำหรับความรู้ที่ได้รับกับราคา 85 บาทเองค่ะ
3
อ่านสนุก อ่านเพลิน ถึงแม้จะเดาตอนจบได้ไม่ยาก
โดย: moobig วันที่เขียนรีวิว: 27 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2558

ก่อนอื่นต้องขอชมผู้เขียนหนังสือเล่มนี้ก่อนเลย พรพิมล สวัสดิ์แดง เธอเป็นเพียงนิสิตชั้นปีที่สาม ภาควิชาการประชาสัมพันธ์ คณะนิเทศศาสตร์ จุฬาฯ ไม่น่าเชื่อว่าเธอจะมีความสามารถในการแต่งนิทานได้ถึงขนาดนี้ ถึงขั้นได้รับรางวัลชมเชยจาก นานมี บุ๊คส์ อวอร์ด ประจำปี 2552 ประเภทนิทานส่งเสริมคุณธรรม ลูกโป่งโอ้เอ้ เป็นนิทานที่ต้องการปลูกฝังให้น้องๆ มีความรับผิดชอบต่อหน้าที่ของตัวเอง ไม่หวั่นไหว ไม่ไหว้เขวไปทางอื่น จนกว่าจะทำงานที่ตัวเองรับผิดชอบให้สำเร็จซะก่อน และเป็นคนที่รู้จักอดทนต่ออุปสรรคต่างๆ ภาพวาดสีน้ำง่ายๆ ธรรมดาๆ แต่อาศัยกลอนน่ารักๆ เล่าเรื่อง ทำให้นิทานเรื่องนี้อ่านสนุก อ่านเพลิน ถึงแม้จะเดาตอนจบได้ไม่ยาก แต่ก็เป็นนิทานที่ไม่น่าเบื่อเลย เรื่องคุณธรรมความรับผิดชอบต่อหน้าที่ของตัวเองเป็นเรื่องสำคัญมากๆ ต้องปลูกฝังให้น้องๆ รู้จักหน้าที่ของตัวเองตั้งแต่เด็ก อาจจะเริ่มจากการรับผิดชอบการบ้านที่ได้รับมอบหมายจากทางโรงเรียนให้เสร็จก่อนแล้วค่อยออกไปวิ่งเล่นกับเพื่อน คุณพ่อคุณแม่อาจจะมีวิธีการหลากหลายในการปลูกฝังน้องๆ ในเรื่องนี้ การเล่านิทานคุณธรรมก็เป็นเครื่องมืออย่างหนึ่งที่คิดว่าได้ผลดีมากๆเลย น้องๆจะได้เห็นภาพ ได้เห็นประโยชน์ที่จะได้รับจากการมีความอดทน จากการมีความรับผิดชอบ แล้วก็รู้สึกว่าอยากทำตามเจ้าลูกโป่งทั้งสามใบ ข้อดีอีกอย่างของนิทานเรื่องนี้ก็คือ น้องๆ จะได้ฝึกทักษะการอ่านไปด้วย เพราะอย่างที่บอกว่านิทานเรื่อง ลูกโป่งโอ้เอ้ เล่มนี้แต่งเป็นกลอน คุณพ่อคุณแม่จะอ่านให้น้องๆฟังหรือให้น้องๆลองฝึกอ่านด้วยตัวเองก็ได้นะคะ
3
เรียนรู้มิตรภาพของเพื่อนได้จากเล่มนี้ค่ะ
โดย: moobig วันที่เขียนรีวิว: 27 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2558

ถ้าจะพูดถึงเพื่อน สำหรับน้องๆ แล้วคงจะนึกถึงคนที่เล่นด้วยกัน คนที่เรียนหนังสือด้วยกันแค่นั้นใช่ไหมคะ จริงๆแล้วก็ไม่ใช่ความหมายที่ผิดอะไร เพราะชีวิตของเด็กๆ ส่วนใหญ่ก็มีแต่แค่เรื่องเล่นกับเรื่องเรียนเท่านั้นเอง แต่สำหรับผู้ใหญ่อย่างเราก็คงจะรู้ดีว่าเพื่อนมีความหมายลึกซึ้งกว่านั้นมาก ทีนี้ทำอย่างไรดีล่ะให้น้องๆได้เข้าใจความหมายที่แท้จริงของคำว่าเพื่อน กุดจี่อยากมีเพื่อน เล่มนี้อาจจะช่วยคุณพ่อคุณแม่ในการสอนน้องๆได้ค่ะ จริงๆแล้วเล่มนี้คงไม่ถึงกับทำให้น้องๆเข้าใจความหมายที่แท้จริงของคำว่าเพื่อน แต่อย่างน้อยน้องๆน่าจะสามารถจดจำได้ว่าเพื่อนที่แท้จริงนั้นมีความหมายยังไง เค้าจะได้เรียนรู้การปฏิบัติตัวเพื่อการเป็นที่รักของเพื่อนๆ และรู้จักวิธีการเลือกคบเพื่อน ตัวอย่างง่ายๆ เช่น กุดจี่กำลังพบพระจันทร์ที่กำลังเศร้าสร้อยจึงถามว่าเป็นอะไร พระจันทร์บอกว่าเธอพูดไม่ดีกับดวงดาว จนทำให้ดวงดาวโกรธ พระจันทร์อยากทำให้ดวงดาวหายโกรธ แต่ไม่รู้จะทำยังไง กุดจี่ก็เลยบอกว่า ฉันก็ไม่รู้เหมือนกัน แต่เวลาที่ฉันทำผิดฉันมักจะขอโทษ เมื่อพระจันทร์ไปขอโทษดวงดาวก็หายโกรธ และในที่สุดก็เข้าใจกัน น้องๆ ก็จะได้เรียนรู้เลยว่าการที่จะเป็นเพื่อนกันนั้น เวลาที่เราทำผิดก็ต้องรู้จักการขอโทษและการให้อภัย นอกจากเรื่องการให้อภัย ก็จะมีคุณธรรมอีกหลายอย่างที่แฝงเอาไว้ ถือว่าเป็นนิทานคุณธรรมที่อ่านแล้วประทับใจมากๆ เมื่ออ่านจบน้องๆจะได้รู้เลยทันทีว่า ความหมายของคำว่าเพื่อนนั้นคืออะไร
3
หลังจากอ่านจบแล้วอยากให้น้องได้ใช้ความพยายามในการค้นหาคำตอบในสิ่งที่เค้าสงสัยและอยากรู้ด้วยตัวเอง
โดย: moobig วันที่เขียนรีวิว: 27 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2558

ก่อนจะเข้าสู่เนื้อหาของนิทานเรื่องนี้อยากจะบอกว่าสิ่งที่น้องๆจะได้รับจากนิทานเรื่องนี้ก็คือ ได้รู้จักกับสัตว์ประเภทต่างๆ มากขึ้น ไม่ว่าจะเป็น แกะ ไก่ กบ หนอน และผีเสื้อ อย่างที่สองก็คือน้องๆจะได้เรียนรู้ว่าสัตว์แต่ละประเภทมีพัฒนาการเป็นของตัวเอง ตอนเด็กอาจจะมีรูปร่างหน้าตาแบบหนึ่ง ตอนโตมาอาจจะมีรูปร่างหน้าตาอีกแบบหนึ่ง ซึ่งเป็นเรื่องธรรมชาติ อย่างที่สามก็คือน้องๆจะได้เรียนรู้ว่าสิ่งใดที่เราไม่รู้หรือสงสัยเราก็ควรจะถามให้หายสงสัย ความไม่รู้ไม่ใช่เรื่องผิด แต่ความกลัวความไม่กล้าต่างหากที่เป็นเรื่องผิด หลังจากอ่านเล่มนี้ให้ลูกหลานฟังแล้วคุณพ่อคุณแม่ก็ควรจะเปิดโอกาสให้เค้าซักถามให้สิ่งที่เค้าสงสัย และพยายามหาคำตอบให้เค้า เรื่องไหนที่คุณพ่อคุณแม่ไม่รู้ก็คดให้เป็นโอกาสในการหาคำตอบร่วมกันกับลูกๆ ถือเป็นการได้ใช้เวลาว่างที่เป็นประโยชน์ร่วมกัน สร้างความสัมพันธ์ที่ดีภายในครอบครัว สำหรับ ผมเป็นสิงโตหรือเปล่าฮะ เป็นนิทานที่พูดถึงลูกสิงโตขี้สงสัย มันสงสัยว่าทำไมตัวเองถึงมีรูปร่างหน้าตาไม่เหมือนพ่อเลยสักนิด ด้วยความอยากรู้มันจึงเดินทางออกไปค้นหาคำตอบ ผลจากการที่มันออกเจอโลกกว้าง ทำให้มันไปเปิดหูเปิดตา ได้ความรู้ใหม่ๆ และในที่สุดมันก็ได้คำตอบที่ต้องการ อย่างที่บอกไปแล้วว่านิทานเรื่องนี้มีประโยชน์ยังไง หลังจากอ่านจบแล้วก็ให้น้องได้ใช้ความพยายามในการค้นหาคำตอบในสิ่งที่เค้าสงสัยและอยากรู้ด้วยตัวเอง การใช้ความพยายามของน้องๆ นอกจากจะได้คำตอบที่ต้องการแล้วยังได้ฝึกทักษะในด้านต่างๆอีกด้วย
4
นิทานเล่มนี้เป็นนิทานที่น่ารักมากๆ อ่านแล้วรู้สึกอิ่มใจ
โดย: moobig วันที่เขียนรีวิว: 27 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2558

นิทานเล่มนี้เป็นนิทานที่น่ารักมากๆ อ่านแล้วรู้สึกอิ่มใจ เป็นการสอนคุณธรรมเรื่องการรู้จักการอดออมประหยัด การรู้จักใช้เงิน การรู้จักแบ่งปันและพอใจในสิ่งที่ตัวเองมี ถ้าดูจากชื่อ รู้จักใช้ รู้จักออม อาจจะคิดว่านิทานเรื่องนี้สอนแค่อย่างเดียว แต่จริงๆแล้วน้องๆจะได้ประโยชน์จากนิทานเรื่องนี้มากกว่าที่คิดอย่างที่ได้บอกได้แล้ว เกือบลืมไปยังมีเรื่องของการฝึกการคำนวณด้วยค่ะ เป็นการฝึกลบเลขแบบง่ายๆ การที่ลูกหมูเก็บเงินได้หนึ่งร้อยบาท แล้วไม่เอาไปซื้อของที่ไม่จำเป็นอย่างพวกรองเท้าที่ตัวเองมีอยู่แล้ว เป็นการสอนเด็กๆเรื่องความประหยัด รู้จักการใช้เงิน การที่ลูกหมูเลือกกินก๋วยเตี๋ยวก็เป็นการสอนให้เด็กๆใช้เงินไปกับสิ่งที่จำเป็นจริงๆ คือการกินอาหาร การที่ลูกหมูเห็นเพื่อนแล้วซื้อก๋วยเตี๋ยวไปฝากก็เป็นการสอนให้เด็กๆรู้จักการแบ่งปัน รู้จักการเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ ไม่เห็นแก่ตัว การที่ลูกหมูซื้อพริกไปฝากคุณแม่ก็เป็นการสอนให้รู้จักการนึกถึงคนอื่น และสุดท้ายคือการที่ลูกหมูเหลือเงิน 20 บาท แล้วเลือกที่จะเก็บไว้ไม่เอาไปใช้ ก็เป็นการสอนให้รู้จักการอดออม เก็บหอบรอมริบ เล่มนี้เป็นนิทานที่คุ้มค่าเล่มหนึ่ง นิทานเล่มเดียวใช้ปลูกฝังคุณธรรมให้กับเด็กๆ ได้หลายเรื่องเลย ราคา 95 บาท ที่เสียไปถือว่าคุ้มค่ามากๆ แน่นอนว่ายังเป็นนิทานสองภาษา นอกจากประโยชน์เรื่องการปลูกฝังคุณธรรมแล้ว น้องๆจะได้ฝึกภาษาด้วย ศัพท์ค่อนข้างง่ายค่ะ พื้นฐานสำหรับเด็กเลย ใช้ในชีวิตประจำวันได้ค่ะ เช่น ศัพท์เกี่ยวกับเครื่องแต่งกาย อาหารการกิน การนับเลข เป็นต้น ภาพประกอบสวยค่ะ สามารถใช้สอนนับเลขกับเด็กได้ดีเลยทีเดียว
3
เล่มนี้เป็นนิทานเล่มบางๆ ที่เด็กๆ และคุณพ่อคุณแม่จะได้ใช้เวลาว่างร่วมกันอย่างคุ้มค่า
โดย: moobig วันที่เขียนรีวิว: 27 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2558

แม่ตามใจเพราะกุ๊กไก่เป็นเด็กดีจ้ะ ถ้าฟังจากชื่อนิทานก็คงจะคิดว่าเป็นนิทานปลูกฝังคุณธรรมจริยธรรมสำหรับเด็ก เพื่อให้เด็กมีลักษณะนิสัยที่ดี ว่านอนสอนง่าย มีความรับผิดชอบ เผื่อว่าจะได้สิ่งดีๆตอบแทน เรื่องของการทำความดีแล้วต้องได้ดี อันนี้ก็เป็นเรื่องที่ถูกต้องอยู่แล้ว เพียงแต่ว่าถ้าสอนแบบนี้ไปเรื่อยๆ จะเป็นว่าสอนให้ทำความดีเพื่อแลกของรางวัลหรือเปล่า นอกเรื่องๆ เข้าเรื่องเลยดีกว่า ที่เกริ่นๆแบบนั้นเพราะกลัวว่าผู้อ่านจะเข้าใจผิดจากชื่อของนิทานอ่ะค่ะ จริงๆแล้วนิทานเรื่องนี้ไม่ได้เกี่ยวอะไรกับการปลูกฝังคุณธรรมจริยธรรมเลย แต่เป็นนิทานที่เน้นการส่งเสริมสร้างความอบอุ่นในครอบครัว แถมยังเป็นนิทานสองภาษาด้วย คือภาษาอังกฤษและภาษาไทยค่ะ แม่ตามใจเพราะกุ๊กไก่เป็นเด็กดีจ้ะ ว่าด้วยเรื่องของครอบครัวของกุ๊กไก่ที่พากันไปเที่ยวป่าสวนสนุก ที่นั่นครอบครัวได้ทำกิจกรรมต่างๆในสวนสนุก ได้เล่มเกมเขาวงกต ฝึกการสังเกต และการเล่าเรื่องเป็นนิทานที่เน้นให้น้องๆได้ใช้ทักษะมากกว่าเรื่องของการฝึกจินตนาการค่ะ หนังสือเล่มนี้มีรูปเยอะดีค่ะแต่ตัวหนังสือน้อยไปหน่อย สำหรับเด็กแล้วน่าจะชอบกันนะ ความสนุกอยู่ตรงที่การที่ตัวละครไปเที่ยวสวนสนุกอ่ะค่ะ เด็กกับสวนสนุกเป็นของคู่กันอยู่แล้ว ยิ่งในแต่ละหน้ามีกิจกรรมเล็กๆน้อยๆ ให้น้องๆ ให้ทำไปด้วยในระหว่างการอ่านก็ยิ่งทำให้สนุกมากเข้าไปอีก เราก็ทำกับหลานเราไปด้วยเหมือนกันค่ะ เล่มนี้เป็นนิทานเล่มบางๆ ที่เด็กๆ และคุณพ่อคุณแม่จะได้ใช้เวลาว่างร่วมกันอย่างคุ้มค่า
3
ชอบความน่ารักของนิทานเล่มนี้มากๆ เรื่องก็น่ารัก การ์ตูนก็น่ารัก
โดย: moobig วันที่เขียนรีวิว: 27 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2558

ต้องบอกเลยว่าเราชอบความน่ารักของนิทานเล่มนี้มากๆ เรื่องก็น่ารัก การ์ตูนก็น่ารัก โดยเฉพาะเจ้าแมวเหมียวตัวน้อย นิทานเรื่องนี้สอนให้น้องๆได้ฝึกนับเลขแล้วก็ฝึกการออกเสียงสัตว์ประเภทต่างๆค่ะ แถมยังมีเจ้าแกะตัวสีขาวคอยแอบอยู่ให้น้อยลองเล่นซ่อนหากับพวกมันด้วย เราอ่านเล่มนี้ให้เจ้าตัวเล็กฟัง แทนที่หลานจะหลับกลับสนุกจนไม่อยากนอนซะงั้น สนุกตรงที่ได้ออกเสียงเลียนแบบสัตว์ประเภทต่างๆนี่ล่ะค่ะ ไม่ว่าจะเป็นหนู เป็ด ไก่ หมู นกฮูก กระต่ายที่กระโดดึ๋งๆ วัวหมา แล้วก็ยังสนุกตรงที่ได้เล่นซ่อนหาและนับจำนวนเจ้าแกะที่คอยแอบอยู่ในแต่ละหน้า เป็นนิทานที่จริงๆแล้วแฝงวิธีการทางจิตวิทยาในการทำให้เจ้าตัวเล็กนอนหลับไปพร้อมๆกันกับเจ้าแมวน้อยสามตัวในเรื่องหลังจากที่พวกมันนับแกะจนครบแล้ว (แต่หลานเราไม่หลับ 555) รับรองได้เลยว่าน้องๆจะได้ฝึกประสบการณ์ในหลายๆด้านไม่ว่าจะเป็นการนับเลข ซึ่งเป็นเรื่องของคณิตศาสตร์ การฝึกการสังเกต และการฝึกออกเสียงเลียนแบบ หนังสือเล่มนี้จะใช้ได้ผลต้องมีคุณพ่อคุณแม่คอยอ่านให้น้องๆฟังนะคะ และด้วยเรื่องราวในนิทาน คิดว่าน่าจะช่วยให้ครอบครัวมีความสัมพันธ์ที่ดีต่อกันมากขึ้นแน่นอน เล่มนี้แค่ 88 บาทเอง คุ้มค่ามากๆ บางคนอาจจะคิดว่าอ่านรอบเดียวพอเด็กๆนับได้แล้วจะเบื่อรึเปล่า จริงๆแล้วไม่เบื่อหรอกค่ะ เด็กๆจะสนุกกับการออกเสียงมากกว่า จนทำให้เค้าไม่เบื่อที่จะฝึกนับจำนวนไปด้วย
3
เป็นหนังสือที่สอนพัฒนาการทางกายภาพของเด็กๆ
โดย: moobig วันที่เขียนรีวิว: 27 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2558

หนูๆที่อยู่ในวัยที่กำลังซนหรือในวัยที่กำลังอยากหยิบจับสิ่งต่างๆ ถ้าคุณพ่อคุณแม่ได้หากิจกรรมที่จะช่วยพัฒนาเค้า ก็จะทำให้น้องๆในช่วงวัยนี้ได้มีพัฒนาที่ดีขึ้นอย่างรวดเร็ว สำหรับหนังสือภาพเรื่อง ลองผลักดูสิจ๊ะเล่มนี้ เขียนขึ้นโดยคุณยูกิ สึรุมิ นักเขียนชาวญี่ปุ่นที่มีประสบการณ์ในการทำหนังสือภาพมามากมาย เธอสังเกตเห็นว่าลูกชายของเธอชอบซุกซน ชอบดึงสิ่งของต่างๆออกมาเล่น จึงเป็นที่มาของการเขียนหนังสือเล่มนี้ ลองคิดดูว่าถ้าเป็นคุณพ่อคุณแม่ทั่วไปคงห้ามไม่ให้ลูกๆหยิบนู่นจับนี่แน่นอน เพราะกลัวว่าจะเกิดอันตราย อย่างที่ผู้เขียนบอกไว้ว่าประโยชน์ที่จะได้รับจากการอ่านหนังสือเล่มนี้ก็คือการฝึกพัฒนากล้ามเนื้อมือของน้องให้แข็งแรง ไปพร้อมกับการฝึกเรื่องประสาทสัมผัสด้วย เราชอบที่หนังสือภาพชุดนี้แตกต่างจากหนังสือภาพทั่วๆไปตรงที่ เป็นหนังสือที่สอนพัฒนาการทางกายภาพของเด็กๆ ส่วนใหญ่หนังสือภาพที่เราเคยอ่านมาจะเน้นไปที่การพัฒนาเรื่องจิตใจ หรือว่าเรื่องทักษะทางการนับเลข การสังเกตอะไรแบบนั้นมากกว่า เมื่อเป็นหนังสือฝึกการพัฒนาทางกายภาพทั้งกล้ามเนื้อและประสาทสัมผัส คุณพ่อคุณแม่ก็ต้องไม่ลืมที่จะหาอุปกรณ์ต่างๆมาช่วยน้องๆด้วย ไม่ใช่ว่าอ่านแล้วแต่ไม่ได้ลงมือทำ อันนี้ก็เสียเวลาไปโดยเปล่าประโยชน์ วิธีการใช้หนังสือเล่มนี้จึงต้องใช้ในแบบที่เป็นเครื่องมือกระตุ้นให้น้องๆอยากเคลื่อนไหวมือ อยากหยิบจับสิ่งต่างๆ จะเรียกว่าเป็นตัวช่วยน้องๆก็คงไม่ผิด ที่สำคัญคือต้องปลอดภัยด้วย
3
เป็นนิทานแนวจิตวิทยาเด็ก ที่อ่านแล้วเป็นการจูงใจเด็กให้เป็นแบบเบนโนผู้ไม่กลัวอะไร
โดย: moobig วันที่เขียนรีวิว: 27 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2558

ลองนั่งนึกถึงตอนที่เรายังเป็นเด็ก ถือว่าเราเป็นเด็กขี้กลัวคนหนึ่งเลย กลัวความมืด กลัวผี สารพัดที่จะกลัว กลัวแม้กระทั่งสิ่งที่ไม่น่าจะกลัว อย่างเช่น กลัวแมว กลัวนก มาถึงตอนนี้หลานเราก็กลายเป็นเด็กขี้กลัวเหมือนเราไปซะแล้ว โดยเฉพาะเวลาที่เราทำเสียงหึหึ นางจะกลัวจนร้อง คงคิดว่าเป็นเสียงผี กำลังจะมาหลอกมั้ง เรากับพี่สาวก็พยายามหาทางที่จะทำให้เจ้าตัวเล็กหายกลัวนะ แต่ก็ยังหาไม่เจอซักที บังเอิญไปเจอนิทานเรื่องนี้เข้า เบนโนไม่กลัวอะไรเลย ก็เลยหยิบมาลองอ่านดู เล่มนี้ป็นนิทานแนวจิตวิทยาเด็ก ที่อ่านแล้วเป็นการจูงใจเด็กให้เป็นแบบเบนโนผู้ไม่กลัวอะไร แต่ถามว่าได้ผลมั้ย อันนี้เราก็ตอบไม่ได้ เพราะหลานเราก็เข้าใจที่เราอธิบายให้ฟังค่ะ แต่เอาเข้าจริงๆไม่รู้เหมือนกันว่านางยังจะกลัวอะไรอีกมั้ย แต่เราก็เข้าใจนะคะ เพราะหนังสือก็บอกอยู่แล้วว่าเด็กในช่วงวัยนี้จะเป็นช่วงวัยที่มีจินตนาการสูง แล้วเค้าจะไม่สามารถแยกแยะได้ว่าอะไรคือเรื่องจริง อะไรคือเรื่องในจินตนาการ ลืมไปว่าถ้านิทานเรื่องนี้ใช้ไม่ได้ผล ก็มีคำแนะนำสำหรับคุณพ่อคุณแม่ในการทำให้ลูกหายกลัวด้วย ตัวอย่างเช่น ต้องหาสาเหตุให้ได้ว่าทำไมลูกถึงกลัวเรื่องนั้นหรือสิ่งนั้น ไม่เห็นความกลัวของลูกเป็นเรื่องตลก อย่าเอาเรื่องที่เด็กกลัวมาขู่หรือทำให้เค้าตกใจ พยายามใช้นิทานเปผ้นสื่อในการกระตุ้นให้เด็กมีความเชื่อว่าทุกอย่างสามารถคลี่คลายไปในทางที่ดีได้
3
เด็กๆจะได้เรียนรู้ตั้งแต่เล็กว่าจะจัดการกับอารมณ์ของตัวเองยังไง
โดย: moobig วันที่เขียนรีวิว: 27 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2558

เวลาที่เด็กๆโกรธเพราะไม่ได้ดังใจ เป็นเวลาที่น่าปวดหัวสำหรับคุณพ่อคุณแม่จริงๆค่ะ โดยเฉพาะถ้าเป็นเด็กที่เอาแต่ใจหรือเป็นเด็กที่ดื้อหน่อย คุณพ่อคุณแม่อาจจะไม่รู้วิธีว่าจะรับมือยังไง แต่คงไม่มีใครที่อยากจะลงไม้ลงมือกับลูกๆหรอกใช่มั้ยคะ วิธีการนี้คงเป็นทางเลือกสุดท้ายจริงๆ เด็กที่โกรธหรือหงุดหงิดง่ายจะส่งผลให้เค้าซึมซับอารมณ์แบบนี้ติดตัว เมื่อโตขึ้นก็จะกลายเป็นผู้ใหญ่ที่ใจร้อน มีอารมณ์ฉุนเฉียว จัดการกับอารมณ์ของตัวเองไม่ได้ การป้องกันหรือสร้างลักษณะนิสัยที่ดีตั้งแต่เด็กจึงเป็นเรื่องจำเป็นมากๆ เด็กๆควรจะได้เรียนรู้ตั้งแต่เล็กว่าจะจัดการกับอารมณ์ของตัวเองยังไง สำหรับถ้วยฟูโกรธแล้วนะ เป็นหนึ่งในนิทานชุดถ้วยฟูชวนหนูรู้จักอารมณ์ โดยยึดหลักการมองโลกในแง่ดีค่ะ เด็กๆจได้เรียนรู้สถานการณ์ต่างๆที่เค้าอาจจะมีประสบการณ์ตรงที่ทำให้เค้าโกรธ ในหนังสือก็จะอธิบายวิธีที่จะจัดการกับความโกรธให้เด็กๆผ่านเจ้ากระต่ายน่ารักๆ เป็นวิธีการแก้ปัญหาง่ายๆซึ่งเด็กๆเองอาจจะเคยทำอยู่แล้วด้วยซ้ำ เช่นการหลบไปอยู่คนเดียวเงียบๆ การหายใจเข้าออกลึกๆ หรือการเล่าให้ใครซักคนที่ไว้ใจฟัง คุณพ่อคุณแม่ควรใช้นิทานเรื่องนี้เป็นพี่เลี้ยงในการให้คำแนะนำกับลูกๆ ในเวลาที่ลูกโกรธ พ่อแม่ไม่ควรโกรธตามลูก แต่ต้องใจเย็นๆทำหน้าที่เป็นที่ปรึกษา รับฟังเรื่องราวของลูกอย่างตั้งใจ การที่ลูกได้ระบายความรู้สึกออกมาจะช่วยลดความฉุนเฉียงลงได้และเป็นการฝึกให้เค้าจัดการกับอารมณ์ของเค้าด้วยตัวเอง
www.batorastore.com © 2024