สาปจันทร์อาบทราย (รมย์นลิน)
ประหยัด: 180.00 บาท ( 75.00% )
มีสินค้ามือสองอยู่จำนวน : 1 รายการราคา 110.00 บาท ซื้อสินค้ามือสอง
Quick View
เนื้อหาบางส่วน
อักขระภาพเฮียโรกลิฟิกที่จารึกอยู่บนผนังศิลาสีทราย
ตรงบริเวณหนึ่งของมหาวิหารคาร์นัก เทวสถานอันยิ่งใหญ่ซึ่งเป็นศูนย์รวม
จิตใจชาวไอยคุปต์ในอดีตกาล มีการกล่าวถึงพระราชวังโบราณช่วง
รัชสมัยฟาโรห์เนเฟอร์ซาอมุนว่า ได้อันตรธานไปจากแผ่นดินอียิปต์
ประหนึ่งโดนม่านมนตร์บดบังตา รวมถึงเชื้อพระวงศ์กับเหล่าข้าราช-
บริพารต่างก็หายสาบสูญเช่นเดียวกัน
การจลาจลในอาณาจักรจึงอุบัติขึ้นดุจไฟลามทุ่ง สร้างความ
วอดวายไปทั่วทุกหย่อมหญ้า ขณะที่ชาวประชากำลังสิ้นหวังและหมด
อาลัยตายอยากยามบ้านเมืองระส่ำระสาย ก็มีวีรบุรุษผู้กล้าหาญชาญชัย
สถาปนาตนขึ้นเป็นฟาโรห์ เพื่อปกครองอาณาประชาราษฎร์ให้ร่มเย็นผาสุกสืบมา
“ไร้สาระ จู่ๆ พระราชวังใหญ่โตจะหายสาบสูญไปได้อย่างไร”
รณกร แสงสุริยะชัย นักโบราณคดีหนุ่มชาวไทยวัยยี่สิบสี่ปี
ส่ายศีรษะนิดๆ หลังอ่านจารึกล้ำค่าบนกำแพงประวัติศาสตร์เสร็จสิ้น
ความแปลกประหลาดของเรื่องราวผ่านตัวอักษรภาพนั้นช่างน่าตลก
ขบขันคล้ายนิทานหลอกเด็ก หรือเทพนิยายเพ้อฝันของพวกผู้หญิง
จนเขาไม่อาจเชื่อถือได้แม้แต่น้อย
“รณ...เสียมรรยาทจริงเชียว ในฐานะที่พวกเราเป็นนักโบราณคดี
ก็ควรศึกษาเอาไว้ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องจริงหรือเท็จก็ตาม”
ปภาพินท์ วิริยะโสภา นักโบราณคดีสาวชาวไทยวัยเดียวกัน
ไม่พึงพอใจเท่าไร เมื่อเพื่อนชายคนสนิทใช้วาจาก้าวร้าวอย่างไม่ควร
กระทำต่อสถานที่สักนิดเดียว
“อย่าบอกนะว่า...พิณเชื่อเรื่องตลกพรรค์นี้” เขากล่าวพลางหัน
มองหญิงสาวข้างกายทันที “แม้ประวัติศาสตร์สามารถทำให้มนุษย์ล่วงรู้
ถึงอดีต และความเป็นมาจากอารยธรรมกับวัฒนธรรมที่หลงเหลือ แต่
เราก็ควรเชื่อในสิ่งที่มีหลักฐานพิสูจน์ได้มากกว่าตัวอักษรไม่มีที่มาที่ไปนะ”
“แล้วรณกล้าพูดได้อย่างไรว่าเรื่องนี้ไม่มีที่มาที่ไป ทั้งที่ยังไม่ได้
ค้นคว้าหาข้อมูลหรือหลักฐานเพิ่มเติมมากกว่านี้”
หญิงสาวผู้มีใบหน้ามนสวยสะบัดหน้าเชิดใส่จนเส้นผมสีดำขลับ
พลิ้วไหว ก่อนสาวเท้าหนีไปอีกทาง ทำเอาเพื่อนร่วมอาชีพหลายสิบคน
ซึ่งกำลังศึกษาดูงานอยู่บริเวณใกล้เคียงส่งเสียงหัวเราะคิกคักอย่างรู้กันว่า
ถึงเวลาง้องอนของรณกรอีกแล้ว
“พิณ...ผมขอโทษ” ชายหนุ่มร้องเรียกเพื่อนสาวพลางวิ่งอ้อมไป
ดักหน้าไว้อย่างรวดเร็ว “ผมสัญญาว่า...ต่อไปนี้จะไม่พูดถึงประวัติ-
ศาสตร์ในทางไม่ดีอีก”
“สัญญาแบบนี้เป็นรอบที่เท่าไรแล้ว” ปภาพินท์กล่าวด้วยน้ำเสียง
ขุ่นเคือง เพราะรู้จักนิสัยชายหนุ่มมากพอจะคาดเดาได้ไม่ยากว่า ไม่กี่
วันหลังจากนี้เขาจะต้องพูดคำคำนี้อีกครั้งอย่างแน่นอน
ความเป็นเพื่อนสนิทรู้จักกันมาเนิ่นนานตั้งแต่วัยเด็กจวบจน
ปัจจุบัน ได้บ่มเพาะมิตรภาพระหว่างทั้งคู่ให้กล้าพูดคุยอย่างเปิดเผย
แทบทุกเรื่อง ทั้งที่อุปนิสัยแตกต่างกันโดยสิ้นเชิง เพราะหากไม่ใช่
คนใกล้ตัวจริงๆ คงไม่มีใครคาดคิดว่า ผู้หญิงเรียบร้อย พูดจาไพเราะ
เยี่ยงปภาพินท์จะสามารถคบหารณกร ผู้ชายนิสัยห่าม พูดจาติดตลก
แบบไม่คิดหน้าคิดหลังสักเท่าไรได้ยาวนานกว่ายี่สิบปี แต่กระนั้นก็มี
สิ่งหนึ่งซึ่งทั้งสองคนมีเหมือนกัน คือ ความชื่นชอบในประวัติศาสตร์ที่
ฝังรากลึกจนแทรกซึมกลายเป็นส่วนหนึ่งของร่างกายและจิตใจ
“พิณก็รู้ว่าปากผมมันไวกว่าสมองเสียอีก” เขาโอดครวญเสียง
อ่อย ยอมรับความผิดพลาดของตนเองพลางจับแขนอีกฝ่ายเขย่าราวกับ
เด็กๆ เพราะรู้ดีว่าเพื่อนสาวมักใจอ่อนยอมยกโทษให้ทุกครั้งถ้าใช้วิธีนี้
“คราวหน้าอย่าทำแบบนี้อีกล่ะ” หญิงสาวกล่าวอย่างจำยอม
พร้อมกลอกนัยน์ตากลมโตไปมาอย่างอิดหนาระอาใจ “คิดดีๆ ก่อนพูด
ออกมา เพราะฉันขี้เกียจทะเลาะเรื่องเดิมๆ ซ้ำแล้วซ้ำเล่า”
“ครับผม!” รณกรตอบรับเสียงดัง ทำท่าวันทยหัตถ์ติดตลกอย่าง
ร่าเริง ก่อนจะรีบเดินตามปภาพินท์ไปค้นคว้าหาข้อมูลบริเวณอื่น โดย
ไม่ลืมหันมาชูนิ้วหัวแม่มือให้เพื่อนพ้องร่วมทีมในเชิงว่า ‘ปฏิบัติการง้อ
ครั้งนี้ลุล่วงเรียบร้อย’
ดวงตะวันใกล้ลาลับอับแสง หลังจากเดินทางบนฟากฟ้า
มานานกว่าครึ่งค่อนวัน ความเหน็ดเหนื่อยของเหล่ามนุษย์ตัวน้อยๆ
อาจไม่เทียบเท่าความวิริยอุตสาหะของเทพรา แต่กระนั้นปภาพินท์
กับรณกรก็รู้สึกเมื่อยล้าเหลือกำลังจนสัปหงกตลอดทางระหว่าง
นั่งเครื่องบินลำเล็กจากเมืองลักซอร์ มหานครแห่งทวยเทพ มาถึง
กรุงไคโร เมืองหลวงของประเทศอียิปต์
ปภาพินท์แทบเขวี้ยงกระเป๋าสะพายทิ้งอย่างไม่แยแส ทันทีที่
กลับมาถึงห้องพักเล็กๆ แคบๆ ในศูนย์วิจัยประวัติศาสตร์แกลตัน
หญิงสาวไม่ปล่อยเวลาให้ไร้ค่า เธอรีบทิ้งตัวลงบนฟูกนอนหนานุ่มอย่าง
หมดแรง แม้เธอจะหลงใหลอารยธรรมเก่าแก่สักเพียงใด แต่การเดินทาง
ไปกลับระหว่างอียิปต์บนกับอียิปต์ล่างภายในวันเดียวก็หนักหนาสาหัส
ขนาดสลบไสลไม่เป็นท่าทุกครั้ง
นับว่ายังโชคดีที่ ศาสตราจารย์จอห์น แกลตัน ไม่เรียกเธอเข้าพบ
เฉกเช่นเพื่อนชาย ซึ่งเท้ายังไม่ทันจะแตะพื้นเสียด้วยซ้ำ ก็มีคำสั่ง
เรียกตัวด่วนเสียแล้ว ต่อให้รณกรตาใกล้ปิดก็จำต้องฝืนใจไปตาม
คำบัญชาเจ้าของศูนย์วิจัยประวัติศาสตร์แห่งนี้อย่างไม่มีทางหลีกเลี่ยง
การเป็นนักโบราณคดีในประเทศอียิปต์มากว่าสองปี ไม่มีสักวัน
ที่ปภาพินท์จะไม่คิดถึงบ้านเกิดเมืองนอนอย่างประเทศไทย ไหนจะเรื่อง
อาหารการกินก็หนักเครื่องเทศจนรู้สึกเลี่ยน ไหนจะเรื่องอากาศร้อนและ
แห้งแล้งจนผิวพรรณหยาบกร้าน ยังไม่รวมสภาพสังคมซึ่งแวดล้อม
ด้วยฝูงชนต่างภาษา ศาสนา และวัฒนธรรม หากไม่ได้รณกรคอยอยู่
เป็นเพื่อนข้างกายยามอ่อนล้า เธอคงหนีกลับไปหาครอบครัวตั้งแต่วันแรกแล้ว
ปังๆ!
ประตูไม้ซีดาร์สะเทือนตามแรงเคาะรัวของใครบางคน ทำให้
หญิงสาวหลุดจากภวังค์ และลุกขึ้นนั่งมองรอบกายด้วยความมึนงง
“พิณ...เปิดประตูให้ผมหน่อย!”
คำเร่งเร้าจากเพื่อนชายสร้างความขุ่นเคืองให้เจ้าของห้องที่ต้อง
ลุกไปปลดโซ่คล้องกลอนเพื่อเปิดประตูตามคำสั่งอย่างหัวเสียไม่น้อย
“ไม่เห็นต้องรีบร้อนขนาดนี้...มีอะไร”
“ผมได้รับคำสั่งให้ไปร่วมศึกษาดูงานที่โอเอซิสซิวากับคณะวิจัย
ของศาสตราจารย์แกลตัน เป็นเวลาสามเดือน...สุดยอดไปเลยใช่ไหม!”
คำตอบนั้นทำเอาเธอตาสว่าง และรีบอ่านเอกสารในมือเพื่อนชาย
ซึ่งกำลังมีความสุขเสียเหลือเกิน
“ว้าว...ยอดเยี่ยมจริงๆ ดีใจด้วยนะ” ปภาพินท์กล่าวขณะ
เขย่ามืออีกฝ่ายเพื่อแสดงความยินดีกับความก้าวหน้าในอนาคตของ
รณกรซึ่งเริ่มปรากฏเด่นชัด เพราะศาสตราจารย์จอห์น แกลตัน คง
ไม่คว้าบุคคลไม่เอาไหนไปร่วมเดินทางต่างสถานที่นานถึงสามเดือนแน่นอน
“เอ่อ...ความจริงแล้วผมขออนุญาตศาสตราจารย์แกลตันให้พา
พิณไปด้วย แต่การเดินทางครั้งนี้เป็นแบบกองคาราวานข้ามผ่าน
ทะเลทราย ท่านจึงเกรงว่าพวกผู้หญิงจะรู้สึกลำบาก เลยให้พวกผู้ชายไปเท่านั้น”
น้ำเสียงหดหู่ของชายหนุ่มทำให้หญิงสาวนึกเอ็นดูเขาขึ้นมา แหม
...รณกร แสงสุริยะชัย ใช่คนธรรมดาเสียเมื่อไร
หน้าตาหล่อเหลาคมคาย กับบุคลิกภาพสง่างามของเขาสามารถ
ดึงดูดสตรีหลากหลายเชื้อชาติให้เหลียวมองประหนึ่งเป็นนักแสดงหรือ
นายแบบชื่อดังทุกครั้งที่ปรากฏโฉมต่อสาธารณชน อีกทั้งยังเป็นลูกชาย
หัวแก้วหัวแหวนของ นายพลณรงค์ฤทธิ์ แสงสุริยะชัย ฐานะการเงินของ
ทางบ้านเลยสูงกว่าคำว่า ‘มีอันจะกิน’ หลายเท่าตัว
แม้ความเพียบพร้อมจะส่งผลให้มีอาชีพที่มีหน้ามีตาทางสังคม
ให้เลือกง่ายๆ แต่รณกรก็ไม่คิดแยแส และข้ามฟ้าข้ามทะเลมาเป็น
นักโบราณคดีถึงประเทศอียิปต์ตามที่เคยสัญญาไว้กับเธอตั้งแต่สมัยเยาว์วัย
“ไม่เป็นไรหรอก...ฉันไม่ได้ไปคราวนี้ ก็ยังมีคราวหน้า เมื่อมีโอกาส
ผ่านเข้ามารณก็ควรรีบคว้ามันไว้นะ” กลายเป็นปภาพินท์ที่ต้องปลอบใจ
คนโชคดี “แล้วอย่าลืมเอาประสบการณ์ที่ได้มาฝากฉันด้วยล่ะ”
“ผมสัญญาว่าจะรีบกลับมา เพื่อเอาประสบการณ์ดีๆ ที่ได้รับ
มาฝากพิณเป็นคนแรก” รณกรกล่าวด้วยน้ำเสียงหนักแน่น โดยไม่รู้
เลยว่า...เขาจะไม่ได้กลับมาทำตามคำพูด!
จากวันนั้นจวบจนวันนี้ เวลาก็ล่วงเลยมากว่าหกเดือนแล้ว
แต่คณะวิจัยสำรวจโอเอซิสซิวาจำนวนสิบคนก็ยังไม่ได้ติดต่อกลับมายัง
ศูนย์วิจัยประวัติศาสตร์แกลตันเลยสักครั้งเดียว ถึงกระนั้นบุคลากร
คนอื่นๆ ในสำนักงานก็ไม่รู้สึกเดือดเนื้อร้อนใจ เพราะการตรวจค้น
ซากอารยธรรมมักมีการยืดเยื้อเสมอ และครั้งนี้ก็คงด้วยเหตุผลเดียวกัน
“วันนี้ก็ยังไม่ได้รับการติดต่อจากคณะวิจัยฯ เหรอคะ” ปภาพินท์
เอ่ยถามรุ่นพี่คนหนึ่ง ซึ่งมีหน้าที่จัดสรรตารางงานต่างๆ ให้ ศาสตราจารย์
จอห์น แกลตัน โดยตรง
“ยังเลย” หล่อนตอบก่อนจะจิบกาแฟสำเร็จรูปในถ้วยกระเบื้อง
ด้วยอารมณ์เบิกบานใจตามปกติวิสัยของลูกน้องยามเจ้านายไม่อยู่สั่งงาน
“แต่นี่มันหกเดือนเต็มๆ แล้วนะคะ”
“ใจเย็นๆ สิพิณ ทุกคนก็รู้ว่าศาสตราจารย์แกลตันมักทุ่มเทเวลา
ให้การทำงานอย่างเต็มที่ จนลืมติดต่อกลับมายังศูนย์วิจัยฯ บ่อยครั้ง”
“อย่างน้อยรณหรือใครสักคนในคณะวิจัยฯ ก็ควรติดต่อกลับมาบ้างนะคะ”
“พวกเขาคงไม่สะดวกติดต่อกลับมา เพราะบริเวณโอเอซิสซิวา
อยู่ห่างจากกรุงไคโรมาก อาจทำให้มีปัญหาเกี่ยวกับสัญญาณโทรศัพท์
ก็ได้ ขนาดพี่โทรศัพท์ไปยังศูนย์วิจัยประวัติศาสตร์เทเลอร์ในโอเอซิสซิวา
ตั้งหลายครั้ง ก็ไม่มีสัญญาณเช่นกัน” คำอธิบายนั้นไม่ได้ทำให้ผู้ฟังอุ่นใจขึ้นเลย
ข่าวคราวไม่คืบหน้าสร้างความหงุดหงิดใจให้หญิงสาวพอสมควร
ยิ่งเห็นทุกคนเมินเฉยประหนึ่งเป็นเรื่องปกติก็ทำให้เธอไม่อาจทนอยู่ต่อไป ได้
จึงก้าวฉับๆ ออกจากตรงนั้นอย่างรวดเร็ว
ช่วงสามเดือนแรกปภาพินท์ยังไม่หวาดวิตกถึงเพียงนี้ เพราะคิดว่า
งานทางด้านโน้นคงยุ่งวุ่นวายจนไม่สามารถสละเวลาทำอย่างอื่นได้ ทว่า
ช่วงสามเดือนหลังก็เริ่มสังเกตเห็นบางสิ่งบางอย่างไม่ชอบมาพากล
เพราะหากรณกรไม่สามารถโทรศัพท์ติดต่อกลับมา เขาจะต้องพยายาม
ส่งจดหมายทางไปรษณีย์หรือหาวิธีอื่นๆ อย่างแน่นอน ไม่ใช่หายเงียบจนผิดวิสัย
วิถีชีวิตในมหานครไคโรยังคงคึกคักด้วยพ่อค้าแม่ขายที่
นำสินค้าหลากหลายประเภทมาเสนอให้แก่นักท่องเที่ยวพร้อมอวดอ้าง
สรรพคุณต่างๆ เกินควร ไม่ว่าจะเป็นเครื่องเรือนหรือเครื่องประดับ
ล้วนถูกวางขายริมทางเดินอันจอแจด้วยผู้คน บางครั้งปภาพินท์ก็อด
ไม่ได้ที่จะเลือกชมเลือกหาข้าวของเพื่อประดับประดาห้องตามรสนิยม
แต่รณกรมักห้ามปรามอยู่ร่ำไป เพราะเกรงว่าเธอจะเสียรู้คนร้าย ซึ่งแอบ
ขโมยวัตถุโบราณจากสุสานเก่าแก่มาอย่างผิดกฎหมาย
“โอ๊ย! ยัยพิณ ทำไมถึงฟุ้งซ่านแบบนี้”
หญิงสาวพึมพำต่อว่าตนเอง ทั้งที่ตั้งใจออกมาเดินเล่นในข่าน-
อัล-คาลิลี ซึ่งเป็นตลาดเก่าแก่แห่งหนึ่งของเมืองหลวง และเป็นศูนย์กลาง
สินค้าด้านงานฝีมืออันเก่าแก่ และปัจจุบันขายสินค้าจำพวกของที่ระลึก
เช่น เครื่องหนัง กล่องประดับลวดลาย เครื่องเงิน ทอง อัญมณี
ทองเหลือง ทองแดง ฯลฯ เพื่อผ่อนคลายความตึงเครียดเรื่องเพื่อนชาย
กลับกลายเป็นคิดถึงเขามากกว่าเดิมเสียได้
การเป็นผู้หญิงไทยตัวคนเดียวในสังคมต่างถิ่นช่างลำบากลำบน
ไม่น้อย เมื่อไม่อาจทำอะไรได้ดั่งใจปรารถนา ปภาพินท์ต้องการออก
(โปรดติดตามต่อในฉบับเต็ม)
รายละเอียด
อาถรรพ์วันจันทรา นำพาหญิงสาวจมสู่โลกแห่งคำสาปใต้ผืนทราย และพบว่าโลกอดีตซ่อนอยู่ภายใต้โลกปัจจุบัน รอคอยการหลุดพ้นจากความเป็นนิรันดร์ ความรัก ความริษยา และคำสาปแช่ง ยังลงทัณฑ์ผู้เป็นต้นเหตุของคำสาป ดุจพันธนาการที่รอการปลดเปลื้อง เพราะอาถรรพ์หรือโชคชะตา พาให้ปภาพินท์เข้ามาอยู่ในพระราชวังโบราณที่อันตรธานไปจากแผ่นดินอียิปต์ ประหนึ่งโดนม่านมนตร์บดบังตา โดยจะผุดขึ้นมาบนผืนทรายทุกคืนพระจันทร์เต็มดวง และพบกับกษัตริย์หนุ่มผู้รอการชดใช้ความผิดในอดีต ทั้งที่ตกเป็นเชลย แต่หญิงสาวกลับรู้สึกคุ้นเคยกับวิถีชีวิตในรั้วพระราชวังแห่งนี้ คล้ายต้องบางอย่างที่รอคอยมาแสนนาน ความลับ โศกนาฏกรรม และความจริงยังรอการแก้ไข...แต่ใครคือผู้ปลดปล่อยที่แท้จริง