รักหาทุน (ทอรัก ถักฝัน)

รักหาทุน (ทอรัก ถักฝัน)

1 รีวิว  1 รีวิว    
รหัสสินค้า: 9786160012640
มีสินค้าในสต็อค
ราคา: 320.00 บาท 80.00 บาท
ประหยัด: 240.00 บาท ( 75.00% )

เนื้อหาบางส่วน

                             บันหนี้

 

 

บันนี่ถือหลักการดำรงชีวิตว่า...เงินไม่มีค่าเท่ากับความสุข

ความจริงก็เป็นเช่นนั้น...แต่มันไม่ได้เป็นเช่นนั้นจริงๆ

 

ถ้านำหลักการของบันนี่มาวิเคราะห์ร่วมกับพฤติกรรมการบริโภค

ของเธอแล้วจะได้สมการว่า...

บันนี่ไม่เห็นว่าเงินมีค่า + บันนี่มีความสุขกับการซื้อ = บันนี่

ไม่ใช้เงินซื้อ

เธอทำได้อย่างไร?

บังเอิญเธอโชคดี ได้เกิดมาในยุคที่มนุษย์เห็นพลาสติกมีค่ากว่า

กระดาษและโลหะ

เหรียญ...เป็นโลหะมีมูลค่าในตัวเอง แม้ไม่เท่ากับค่าเงินที่ระบุไว้ก็

ใกล้เคียง แต่คนกลับไม่ ‘รู้สึก’ ว่ามัน ‘มีค่า’ ให้ขอทานบางครั้งยังโดน

เมิน!

ธนบัตร...เป็นเพียงกระดาษด้อยค่า แต่กลับมีมูลค่าขึ้นมา เมื่อ

ธนาคารชาติแลกเปลี่ยนทุนสำรองเงินตราเพื่อรับรองว่าชำระหนี้ได้ตาม

กฎหมาย

บัตรเครดิต...ไม่ใช่เงิน มันคือแผ่นพลาสติกไร้ค่าที่สถาบันทางการ

เงินต่างๆ ออกให้แก่ลูกค้าเพื่อใช้จ่ายแทนเงิน

นั่นหมายความว่า ทุกครั้งที่แผ่นพลาสติกใบนี้ถูกใช้แทนเงิน... ‘หนี้’

ก็เกิดขึ้น!

ชื่อก็บอกอยู่แล้วว่า บัตรเครดิต...บัตรแห่งหนี้!

 

โดยธรรมชาติ...คนมีเงินย่อมมีความสุขกว่าคนมีหนี้แน่ๆ

แต่หลังจากบัตรเครดิตถือกำเนิดขึ้นในปี ค.ศ.1914 ค่านิยมของคน

ก็เปลี่ยนไป...กลับ ‘รู้สึก’ ว่า ‘มีหนี้’ ดีกว่า ‘มีเงิน’

โฆษณาบัตรเครดิตต่างๆ พยายามสร้างความรู้สึกดีๆ กับ ‘หนี้’...

สิทธิพิเศษกว่าใคร...อภิสิทธิ์เหนือระดับ...อำนาจแห่งการจับจ่ายไร้ขีด

จำกัด...

ห้างร้านต่างๆ ยินดีต้อนรับ ‘บัตรแห่งหนี้’ ทุกสถาบัน พร้อม

โปรโมชันพิเศษมากมายสำหรับคุณ ‘ลูกหนี้’ ทั้งหลาย ทำให้สมการนี้กลาย

เป็นจริงขึ้นมาได้...

บันนี่ไม่เห็นว่าเงินมีค่า + บันนี่มีความสุขกับการซื้อ = บันนี่

ไม่ใช้เงินซื้อ

บันนี่จึงกลายเป็น ‘บันหนี้’…ตะบี้ตะบันชอปจนติดหนี้!

“แง...คุณยายใจร้ายตั้งชื่อไม่เป็นมงคลให้หนู!!!”

 

‘เงิน’ กับ ‘หนี้’ เป็นสิ่งที่ตรงข้ามกัน แต่ก็เป็นสิ่งเดียวกัน...

เพราะ ‘หนี้’ คือ ‘เงินที่ติดลบ’

มีหนี้ก็แปลว่ามีเงินติดลบ

ด้วยระบบบัตรเครดิตที่เน้นการใช้ก่อนผ่อนทีหลัง ส่งเสริมให้บันนี่

‘มีความสุข’ จนติดลบ

ในสมการ...บันนี่ไม่เห็นว่าเงินมีค่า ถ้าจะพูดให้ตรงกว่านั้น...บันนี่

ไม่มีโอกาสได้เห็นแม้แต่เงาของเงินด้วยซ้ำ เพราะเงินเดือนออกมาเมื่อไร

ก็ต้องรีบนำไปจ่ายหนี้จนไม่มีเหลือ เพื่อให้มีวงเงินใช้ชอปต่อไป

การซื้อด้วยเงินสดๆ ช่วยให้เกิดความรู้สึกถึง ‘รายจ่าย = การ

หดหายของรายได้’ แต่การรูดปื้ดๆ ด้วยบัตรพลาสติกที่ไม่มีค่าอะไร ทำให้

ไม่เกิดความ ‘รู้สึก’…‘รู้’ ว่าเงิน ‘สึก’ ไปเท่าไรแล้ว

มารู้อีกทีก็เมื่อรูดไม่ผ่าน...บัตรเต็มวงเงินใบแรก...บัตรเต็มวงเงิน

ใบต่อมา...ต่อมา...และบัตรเต็มวงเงินทุกใบ!!!

หากความรู้ ‘สึกยิ่งกว่าสึก’ เกิดขึ้น เมื่อรายได้ไม่พอจ่ายหนี้

และรู้ ‘สึกที่สุด’ ก็เมื่อเจอดอกเบี้ย 20% ต่อปี!

“ก็ไม่ได้เยอะอะไรนี่ แค่ 20% เอง สบายๆ” บันนี่ยิ้มกับความรู้

‘สึก’ จิ๊บๆ

“จะบ้าเหรอ!” ฉันฟังแล้วอยากเป็นลม “...20% นี่มันโหดโคตรๆ

คิดดูสิว่า ของราคา 100 เธอจะต้องจ่าย 120 เชียวนะ”

ฉันจะซื้ออะไรที คำนวณแล้วคำนวณอีก เพื่อให้ได้ส่วนลด ถ้าต้อง

จ่ายเพิ่มถึง 20% ฉันตายดีกว่า!

“เอาน่าๆ... ตอนฉันถอยกระเป๋าใบนี้มา ก็ได้ลดตั้ง 25% รองเท้า

นี่ก็ Sale 30% โดนดอกเบี้ยไป 20% ก็ยังถือว่ากำไร...หุหุ”

ยังอุตส่าห์คิดได้นะ บันหนี้! สมเป็นผู้บริโภคยอดเยี่ยมที่ฝ่าย

การตลาดควรให้โล่รางวัล ‘เหยื่อดีเด่น’ จริงๆ

“ปัญหาคือ วงเงินเต็มแบบนี้ ฉันจะทำอย่างไรดี?”

ดูเธอซิ ไม่เข็ด ยังคิดจะชอปต่ออีกรึ!?

“หยุดซื้อ!”

 ฉันใช้เงินน้อยกว่าเธอ 10 เท่าก็มีชีวิตอยู่ได้ ไม่เห็นตายเลยสัก

หน่อย กินจุกว่าเธอซึ่งกลัวอ้วนด้วยซ้ำ แถมยังไม่มีใครคอยส่งของฟรี

มาให้เหมือนอย่างเธอ...นางหงส์ทรงเครื่องที่หนุ่มๆ หมายปอง

“ก็ของฟรีมันไม่ถูกใจฉันนี่นา ซื้อเองดีกว่า”

ฉันสรุปว่า บันนี่เป็นโรคจิตชนิด Shopaholic

“มือถือเก่าแค่ตกรุ่น ไม่ได้ตกน้ำ ทำไมจะใช้ไม่ได้?”

“ก็เขาเพิ่งออกรุ่นใหม่มานี่นา ฉันอุตส่าห์ไปยืนต่อคิวจองเป็นวันๆ

เลยเชียวนะ รุ่นนี้น่ะ มีกล้องตั้งร้อยล้านพิกเซลแน่ะ”

โธ่เอ๋ย ทำเป็นไฮเทค โทรศัพท์อะไรไม่รู้ ฉลาดตอนเช้า พอบ่ายก็

กลายเป็นสากกะเบือเพราะแบตหมดต้องวิ่งโร่มาขอยืมโทรศัพท์รุ่นหน้า

จอขาวดำมีตุ่มไม่มากไม่น้อยของฉัน...ชิ!

 

“ซื้อทำไมหา ไอ้คอร์สหน้าเด้ง...หน้านะยะ ไม่ใช่ลูกบอลหรือ

ลูกชิ้น จะเด้งไปไหน?!”

ความจริงคนเกิดมาสวยอย่างบันนี่ไม่เห็นต้องแต่งอะไรมากมาย

นอนน้ำลายไหลก็ยังดูเซ็กซี่ เดินเกาก้นแกรกๆ ก็ยังมีเศษเสน่ห์กระเด็น

ออกมาได้ แต่เธอกลับเสียเงินทองมากมายให้แก่ร้านเสริมสวย ทั้งทำผม

ทำเล็บ ทำหน้า ทำตัว ทำมันตั้งแต่หัวยัน... ยังดีที่เธอเป็นคนกลัวเจ็บ เลย

ไปไม่ถึงยันฮี!

ถ้าโต๊ะเครื่องแป้งเปรียบเหมือนเมือง โต๊ะเครื่องแป้งของฉันก็เป็น

เมืองชนบทราบเรียบ มีไซโลตั้งโด่เด่อยู่ หนึ่งอันถ้วน...นั่นคือโลชันผสม

กันแดดขวดเดียวที่ฉันใช้ทามันทั้งหน้าทั้งตัว แต่โต๊ะเครื่องแป้งของบันนี่

เป็นใจกลางเมือง เพราะคุณเธอมีครีมบำรุงและเครื่องสำอางวางเรียงราย

ราวกับตึกระฟ้าหนาแน่น

“ทาอะไรนักหนา หน้าก็มีอยู่อันเดียว”

 “ขวดนี้กันเหี่ยวกลางวัน ขวดนั้นกันเหี่ยวกลางคืน กระปุกนี้ยก

กระชับ ตลับนี้ขาวใส อันนี้ไร้สิว...”

 โอ้ มันมี ‘เหี่ยวกลางวัน’ กับ ‘เหี่ยวกลางคืน’ ด้วยหรือนี่ ยังมีทา

ก่อนล้างหน้า หลังล้างหน้า ก่อนทาแป้ง บำรุงตาบน ตาล่าง ปากบน ปาก

ล่าง สิวเสี้ยนต้องแต้มนี่ สิวหัวช้างแต้มโน่น...โอ๊ย...งง

                วิธีแก้ปัญหาหนี้ที่ทรงประสิทธิภาพที่สุด...หยุดซื้อ!

ง่ายๆ แค่นั้น แต่บันนี่ทำไม่ได้! เธอเลือกทำสิ่งที่สลับซับซ้อนและ

ยุ่งยาก จนไม่น่าเชื่อว่าคนไม่ชอบวิชาคำนวณอย่างเธอจะทำได้

ตอนแรก...เธอแก้ปัญหาเฉพาะหน้าด้วยการ ‘หมุนเงิน’ แต่มนุษย์

เงินเดือนซึ่งมีรายได้ทางเดียวไม่ได้ทำมาค้าขายจะมีเงินหมุนได้อย่างไร

นอกจากใช้วิธี...ขอวงเงินเพิ่มบัตรนี้ แล้วเอาไปกดเงินสดออกมาจ่ายบัตร

นั้น แล้วกดเงินสดจากบัตรนั้นไปจ่ายบัตรโน้น วนเวียนไปเรื่อย...

หากบันหนี้ก็ไม่ยอมหยุดซื้อ ยังคงไว้ซึ่งนิสัยมือเติบ เอาแต่ใจ ซื้อ

ของไม่เคยมองราคา คิดแต่ว่าได้ส่วนลดเท่าไร ไม่นานก็ไปไม่รอด ต้องพึ่ง

สินเชื่อส่วนบุคคล ในอัตราดอกเบี้ยที่โหดหินยิ่งกว่า

“แค่ 2.75% เอง ถูกกว่า 20% ตั้งเยอะ”

 “ยายบ้า 2.75% ต่อเดือน ก็เท่ากับ 33% ต่อปีเชียวนะ โอย...ฉัน

จะเป็นลม!”

 

ดอกเบี้ยทบต้นเป็นสิ่งประดิษฐ์มหัศจรรย์ของมนุษยชาติ

เมื่อ 3 ปีก่อน บันนี่เข้าทำงานไม่กี่เดือนก็ทำบัตรเครดิตและเริ่มติด

หนี้ ปัจจุบันหนี้ของเธอเติบโตขึ้นราวสามเท่า นั่นหมายความว่า ซื้อของ

100 จ่าย 300

แล้ว! บัดนั้น...เมื่อเครดิตบูโรกลายเป็นบุโรทั่ง แถมยังมีจดหมายทวงหนี้

ส่งมาถึงบ้านเป็นตั้งๆ ทั้งทนายของสถาบันการเงินก็โทร. ตามจิกไม่เว้น

แต่ละวัน

บันนี่เลยขยาดความเป็นลูกหนี้ในระบบ หันไปใช้บริการเงินกู้นอก

ระบบแทน เพราะกู้ง่ายกว่า อนุมัติเร็วกว่า ได้วงเงินสูงกว่า

แต่พอถึงเวลาทวงหนี้ มันไม่ใช่แค่จดหมายหรือโทรศัพท์ มันมา

‘ตัวเป็นๆ’!!!

“เฮียส่งผมมาทวงหนี้ รีบๆ จ่ายมาเสียดีๆ ดีกว่าน่าน้องสาว!”

กรี๊ดดด!...น่ากลัวที่สุดเลย ในที่สุด

บันหนี้ก็ไม่ใช่แค่รู้สึก แต่รู้ซึ้งแล้วว่า...

เงินไม่มีค่าเท่ากับความสุข แต่ทุกข์สุดๆ เมื่อมีหนี้ไม่มีจ่าย!

 

เหลียวซ้ายแลขวา...บันนี่ไม่มีใครอีกแล้ว

เธอไถคุณยายจนท่านไม่เหลืออะไรจะให้จริงๆ...

แย่ยิ่งกว่านั้น บันนี่เคยแสดงกตัญญูด้วยการ ‘ถอย’ กระเป๋า

แบรนด์เนมสุดหรูให้คุณยาย (โดยเลือกรุ่นที่เธอชอบ แบบคลาสสิกกี่ปีก็

ไม่เชย เผื่อวันหน้ายายตายแล้ว เธอจะได้เก็บเอามาใช้ต่อได้) ราคาห้า

หมื่นกว่าบาท (ลงทุนเต็มที่เพราะใช้ตั้งสองชั่วคน)

แต่พอติดหนี้ เธอก็ไปอ้อนขอเงินคุณยาย กลายเป็นอัฐยายซื้อ

กระเป๋ายาย เมื่อคุณยายเงินหมดไม่มีจะให้เธอไถ ก็อุตส่าห์ตัดใจ เอา

กระเป๋าไปขายในราคาห้าพัน เพื่อหาเงินมาให้หลานรัก!

งานนั้นทำบันนี่ร้องโหยหวนด้วยความเจ็บปวดใจไปเป็นปีๆ พูดถึง

ทีไรก็น้ำตาไหลซึม ...สมน้ำหน้า!

เธอเคยขออาม่าฉันด้วย ทีแรกก็ให้ยืมไม่คิดดอก แต่คราวต่อมา

เจอดอกเบี้ย 50% ต่อปีเข้าไป เข็ดจนตาย

สุดท้ายก็ไม่พ้นคนใกล้ตัวที่สุด...

“ออมมี่จ๋า...เรารักกันเหมือนพี่น้องฝาแฝดใช่ไหม...”

 ยังไม่ทันที่ ‘บันหนี้’ จะเอ่ยปากจบประโยค ฉันก็ตัดบทฉับ...

 “ไม่! …มีเงินนับเป็นน้อง มีทองนับเป็นพี่ แต่มีหนี้นับไม่ถ้วน

สมควรเลิกคบ!”

ฉันเคยช่วยไปแล้ว เหมือนส่งเสริมให้บันนี่ได้ใจ พอแก้ปัญหาได้

ง่ายๆ ก็เลยไม่ยอมแก้นิสัย ปัญหาจึงย้อนกลับมา...สาหัสยิ่งกว่า

“ยายออมมี่ใจร้าย ฉันขอแช่งให้เธอสำลักเกลือตัวเองตายๆ ไปซ้า”

ฉันกลัวจะตายเพราะโดนอุ้มมากกว่า มีนักเลงมาทวงหนี้หน้าบ้าน

แบบนี้...เฮ่อ...

ถ้าฉันมีก็คงจะแอบๆ ใช้หนี้ให้ไปก่อนล่ะนะ แต่ว่าสภาพเศรษฐกิจ

ในกระเป๋าฉันตอนนี้ก็ย่ำแย่ไม่แพ้บันนี่เลย

เงินสดฉันไปติดอยู่ในพอร์ตการลงทุนหมดแล้ว...พอดีหุ้น PGS...

เพกาซัส ที่ซื้อไว้เก็งกำไรดิ่งลง หลอกให้เราหลงคิดว่าเขากำลังจัดโปรโมชัน

หั่นราคา ก็ช้อนซื้อถัวมาเรื่อยๆ จนเต็มพอร์ต ถ้าขายล้างพอร์ตมาจ่ายหนี้

ตอนนี้ก็เท่ากับล้างตูดดีๆ นี่เอง

“ฉันควรทำอย่างไรดี?”

 บันนี่คิดไปคิดมา ก็คิดวิธีแก้ปัญหาออกมาได้วิธีหนึ่ง...ซึ่งเป็นวิธี

แก้ปัญหาระยะยาวแบบบูรณาการที่ยั่งยืนตามแบบฉบับนางเอกอย่างที่

ตัวประกอบกระจอกๆ อย่างฉันไม่มีวันนึกออกเลยจริงๆ ให้ตายเหอะ!

“ฉันจะต้องหาทางยืมเงินพระเอกมหาเศรษฐีหนุ่มหล่อ แล้วก็

แต่งงานชดใช้หนี้!”

 โถ...นางเอกคนอื่นเขามีความจำเป็น ไม่พ่อติดพนันก็แม่ป่วยหนัก

หรือต้องส่งน้องเรียนหนังสือ แต่หนี้ของบันหนี้เกิดจากมือถือ กระเป๋า

เสื้อผ้า นาฬิกา และคอร์สหน้าเด้ง!

“เน่...หางานพิเศษทำง่ายกว่าไหมยะ?”

ในสายตาตัวประกอบ...งานพิเศษน่าจะเป็นการแก้ปัญหาระยะยาว

ที่ดีที่สุดสำหรับนางเอกรายนี้ เพราะนอกจากมีรายได้เพิ่มแล้ว ยังช่วยให้

เธอไม่มีเวลาชอป ช่วยลดรายจ่ายได้อีกด้วย

“ได้ๆๆ ระหว่างที่ยังหาพระเอกไม่ได้ ฉันจะหางานพิเศษทำรอไป

ก่อนนะ”

บันนี่มุ่งมั่นขยันขึ้นมาทันทีที่มีความฝัน (อันไร้สาระ) ลอยอยู่เบื้อง

หน้า แม้ว่าจับต้องไม่ได้ แต่ก็เป็นพลังใจช่วยให้เธอยิ้มสดใสเริงร่าแม้ใน

ยามที่ต้องฟันฝ่าวิกฤติ!

“ว่าแต่...เฮียๆ ทั้งหลายที่มารอหน้าประตูอยู่ทุกวี่ทุกวันนี้ล่ะ จะให้

 

(โปรดติดตามต่อในฉบับเต็ม)


รีวิว (1)

เขียนรีวิว

จตุพร | 1 รีวิว
25/06/2014

“รักหาทุน” เป็นเรื่องราวของ “บรรณนารี” สาวสวยรวยเสน่ห์ นางเอกของเรื่องค่ะ นางเอกเรื่องนี้เธอเป็นโรค “shopaholic” ติดการช้อปปิ้งขั้นรุงแรง หากใครเคยดูหนังเรื่อง “shopaholic” ก็ให้คิดภาพของนางเอกของเรื่องนี้ได้เลย แต่นางเอกของเราโชคดีที่มีเพื่อนรักแสนดีอย่าง “ออมมี่” ที่รู้จักคุณค่าของเงินและคอยกรอกหูให้เธอเลิกบ้าซื้อของเสียที แต่กว่านางเอกจะรู้ก็เมื่อสาย เป็นหนี้ทั้งในและนอกระบบ จนต้องหนีหนี้ เจ้านายของนางเอกเห็นเป็นโอกาสดีเลยยื่นขอเสนอให้นางเอกไปดูแล “ฌอน ซิลเวอร์ สโลน” เจ้าพ่อวอลล์สตรีท ที่เพื่อนของเธอนับถือประดุจเทพบิดา เกริ่นแค่นี้คงพอเนอะ อิอิ ความรู้สึกของดิฉันหลังอ่านจบคือ ตลกค่ะ นั่งขำเหมือนคนบ้าตั้งแต่ต้นเรื่องยันจบ สไตล์การเล่าเรื่องของนิยายเรื่องนี้จะแปลกนิดนึง คือตัวนางเอกกับพระเอกไม่ได้เป็นคนเล่าเรื่อง แต่เรื่องดำเนินโดย “ออมมี่” ซึ่งเป็นคนเล่าเรื่องราวของเพื่อนรักเธอ เริ่มต้นตั้งแต่ทั้งคู่รู้จักกันได้ยังไง และอย่างตอนปัจจุบันที่ทั้งคู่อาศัยอยู่ด้วยกันสองคน ที่สำคัญนางเอกของเราไม่รู้จักอีตา “ฌอน ซิลเวอร์ สโลน” หรอกค่ะว่าเป็นใคร แต่ออมมี่เนี่ยแหละที่เป็นคนบอกว่าเขาเป็นคนดังและเก่งกาจขนาดไหน ตอนแรกที่นางเอกรู้เลยดีใจคิดจะจับเขาหวังมาช่วยปลดหนี้ก้อนโต แต่ที่ไหนได้กลับกลายเป็นเธอดันขาดทุนย่อยยับ ถึงตอนแรกนางเอกจะวางแผนจับพระเอก แต่นางเอกเรื่องนี้เธอใสซื่อจนเซ่อค่ะ บางทีดิฉันก็สงสัยว่าเธอไม่โกรธพระเอกเลยเหรอไงกัน พระเอกทำกับเธอสารพัด คือ พระเอกทำเพราะตั้งใจสั่งสอนนางเอกค่ะ เพราะไม่ชอบที่เธอคิดจะจับเขา ดังนั้นเลยพยายามแสดงตัวตนด้านร้ายๆให้เธอเห็นหวังว่าเธอจะเปลี่ยนใจ เอ๊ะ หรือว่าหักห้ามใจตัวเองกันแน่คะคุณพระเอก แต่เขากลับต้องเปลี่ยนใจเพราะหัวใจอันใสซื่อของเธอเข้ามาสั่นคลอนโลกที่มั่นคงยิ่งกว่าแผ่นดินไหวครั้งไหนๆ ดิฉันอ่านแล้วเกลียดตอนพระเอกร้ายไม่ลงจริงๆค่ะ เพราะรู้ว่าเขาหวังดีกับนางเอกไม่ได้ทำไปเพราะความชั่วที่มีในกมลสันดาร นางเอกตอนแรกไม่รู้ว่าตัวเองรักพระเอกหรือเปล่า แต่พออยู่กับพระเอกเลยไปเรื่อยก็ยิ่งมั่นใจว่าเธอรักเขามากกว่าการช้องปปิ้งใดในโลกใบนี้ ผู้เขียนยังแฝงข้อคิดเรื่องการใช้เงินให้ได้อ่านเป็นระยะด้วยค่ะ และที่ชอบมากคือพยายามสอนให้นางเอกรู้ว่าไม่มีความสุขใดๆในโลกนี้จะเท่ากับการได้อยู่กับคนที่เรารัก ไม่มีพระเอกในนิยายสวยหรูหรือเพียบพร้อมเหมือนนิยายที่เธอเคยอ่านมาตลอดชีวิต เพราะมีแต่ผู้ชายธรรมดาที่ถึงไม่เป็นเจ้าพ่อวอลล์สตรีท ไม่ได้ร่ำรวย แต่เธอก็รักเขาอย่างหมดหัวใจ เรื่องเลยจบลงโดยแฮปปี้แบบฮาๆ ทำให้ดิฉันซาบซึ้งกับความรักของทั้งคู่อย่างมาก และรอคอยเรื่องราวของออมมี่กับสายฟ้าที่ได้โผล่มาเรียกเสียงฮาบ้างแล้วในเรื่องนี้อย่างใจจดจ่อในนิยายเรื่องต่อไปค่ะ อย่าลืมไปหาอ่านกันนะคะ แล้วจะขำจนน้ำตาเล็ดแบบดิฉัน

สินค้าที่ใกล้เคียง (96 รายการ)

www.batorastore.com © 2024