ตะวันไม่มีวันตกดิน (อาสดา)

ตะวันไม่มีวันตกดิน (อาสดา)

0 รีวิว  0 รีวิว    
รหัสสินค้า: 9786160013937
มีสินค้าในสต็อค
ราคา: 270.00 บาท 67.50 บาท
ประหยัด: 202.50 บาท ( 75.00% )

เนื้อหาบางส่วน

พ.ศ.2499 หัวลำโพงเป็นศูนย์กลางการคมนาคมทางบก

ระหว่างภูมิภาคที่สำคัญของประเทศ แม้ในยามเช้าตรู่ของปลายฤดูหนาว

ซึ่งหมอกลงจัดเช่นวันนี้ก็ยังพลุกพล่านด้วยพ่อค้าแม่ค้า ผู้โดยสาร และ

ผู้มารอรับส่ง...สมาชิกสี่คนของครอบครัวเสนานุรักษ์รวมอยู่ในกลุ่มหลังนี้

ปรียา เสนานุรักษ์ ภรรยาม่ายวัยเกือบสามสิบของพระยาเสนาธิกร

ยืนเด่นล้ำหน้าทุกคนในฐานะผู้นำของตระกูล แต่ต่อให้ยืนเทียบเคียง

ความงามของหล่อนก็เปล่งรัศมีกลบหญิงสาวผู้ยืนเยื้องไปด้านหลังอยู่ดี

ทั้งที่อายุมากกว่าหลายปีและวันนี้ก็สวมชุดไว้ทุกข์ให้สามีที่เพิ่งเสียชีวิตไป

เมื่อเดือนก่อน สีดำซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของความเศร้าขับผิวเหลืองลออ

ผุดผ่อง เสื้อกระโปรงเข้ารูปแบบเรียบเน้นความบอบบางน่าถนอมแบบ

กุลสตรี

หญิงสาวผู้อ่อนวัยกว่าตระหนักได้ถึงความจริงข้อนี้ดี หล่อนเห็น

ผู้คนที่เดินผ่านไปมามองร่างบอบบางและหน้าตากระจุ๋มกระจิ๋มของหล่อน

อย่างชื่นชม แต่พอเห็น ‘คุณหญิง’ ก็มักตะลึงมองเหลียวหลังทุกคนไป...

ในอดีต วรรณวิไลเคยหมั่นไส้ริษยาอยู่บ้าง แต่บุญคุณมากล้นที่แม่เลี้ยง

ช่วยวิ่งเต้นจนพี่ชายคนโตผู้มีส่วนร่วมในเหตุกบฏแมนฮัตตันจนต้องหนี

ไปลี้ภัยที่สิงคโปร์ ได้รับการผ่อนผันจากรัฐบาลให้เดินทางกลับประเทศ

ได้กลบทับความรู้สึกอื่นหมดสิ้น เหลือเพียงความชื่นชม สำนึกในบุญคุณ

และความกริ่งเกรง...ซึ่งประการหลังนี้เกิดขึ้นเพราะคุณหญิงเป็นผู้กุม

ความลับของหล่อน

หัวรถไฟปรากฏให้เห็นที่สุดสายตา วรรณวิไลหันไปยิ้มอย่างตื่นเต้น

กับชายหนุ่มร่างสูงโปร่งหน้าตาหล่อเหลาแบบ ‘หน้าหยก’ ซึ่งยืนเคียงข้าง

“ต้องเป็นขบวนนี้แน่เลยค่ะพี่กล้า”

กล้าหาญพยักหน้ารับยิ้มๆ หันไปคว้าศอกนางแจ่ม หญิงชราวัย

เจ็ดสิบปีผู้เคยเป็นแม่นมเลี้ยงดูบุตรธิดาทุกคนของพระยาเสนาธิกรและ

บัดนี้รับหน้าที่เป็นแม่บ้านใหญ่ แล้วพาเดินเข้าไปใกล้ชานชาลามากขึ้น

เมื่อรถไฟสายใต้ขบวนแรกแล่นเข้ามาเทียบสถานีหัวลำโพง

คุณหญิงปรียาก้าวนำไปรอตรงบันไดของโบกี้สุดท้าย ยังคงรักษาสีหน้า

และกิริยาท่าทางสงบนิ่งไว้ได้ แต่ไม่อาจซ่อนแววตาวาววับฟ้องความ

ปราโมทย์ ความโหยหาอาวรณ์ ความเสน่หา แต่เนื่องจากยืนล้ำหน้า

คนอื่นในกลุ่ม ผู้เห็นจึงมีเพียงชายร่างสูงที่ก้าวลงมาเป็นคนแรกเท่านั้น

“คุณแสน...” หล่อนเอ่ยทักเสียงแผ่ว ปากเคลือบลิปสติกสีแดงสด

แย้มกว้างจนเห็นไรฟัน ตาระริกรื้นด้วยน้ำตาแห่งความดีใจ แต่แสนยา

มองแม่เลี้ยงสาวสวยด้วยสีหน้าเคร่งขรึมเฉยเมยจนอีกฝ่ายหน้าเจื่อน

ถอยหลังไปหนึ่งก้าวโดยไม่รู้ตัว ไม่ว่าเวลาผันผ่านไปเนิ่นนานเพียงไร

ความ ถือตัวห่างเหินที่มีต่อหล่อนไม่เคยลดน้อยลงเลย...ปรียาคิดด้วยความ

น้อยใจ “การเดินทางเป็นอย่างไรบ้างคะ”

“เรียบร้อยดี ขอบใจ” เขาตอบเพียงแค่นั้น แล้วหันไปลูบหัวน้องสาว

กับตบไหล่น้องชายที่ยกมือไหว้ ยิ้มทั้งน้ำตา จากนั้นจึงหันไปไหว้หญิงชรา

ที่ยืนน้ำตาคลอมองอยู่ห่างๆ “แม่แจ่ม มารับฉันกับเขาด้วยรึ”

“คุณแสน ทูนหัวของบ่าว แจ่มคิดว่าชาตินี้จะไม่ได้เห็นหน้ากันอีก

แล้ว” หญิงชราน้ำตาร่วงพรู แล้วได้รับการปลอบใจด้วยอ้อมกอดอบอุ่น

แข็งแกร่ง “หมดเคราะห์หมดโศกเสียทีนะพ่อคุณ”

                มือเหี่ยวย่นลูบศีรษะใหญ่ที่ปกคลุมด้วยเส้นผมดกหนาปรกต้นคอ

ผิดสมัยนิยม ถึงเคยรับราชการเป็นถึงนาวาตรี แต่หนุ่มใหญ่ท่าทางน่า

เกรงขามผู้นี้ก็เป็นเพียง ‘คุณแสน’ ที่นางเลี้ยงมาตั้งแต่ตีนเท่าฝาหอย

หญิงชราแหงนคอตั้งบ่าเพราะความสูงของคนกอด ลดมือลงประคอง

สองแก้มรกเครา เขม้นมองแล้วบ่นงึมงำ “โถ...นี่คงลำบากยากแค้นมากละสิ

ดู๊ดู...ปล่อยเนื้อปล่อยตัวอย่างกับโจรห้าร้อยก็ไม่ปาน”

แสนยาหัวเราะหึๆ “หนวดเครานี่เพราะต้องนั่งๆ นอนๆ อยู่บนรถไฟ

สามวันสองคืน แต่ถ้าตกค้างอยู่ที่นั่นอีกสักปีสองปีก็คงไม่แคล้วต้องเป็น

โจรอย่างแจ่มว่าเหมือนกัน”

“ต้องขอบคุณคุณหญิงที่ช่วยวิ่งเต้นกับผู้ใหญ่ จนยอมผ่อนผันให้

พี่แสนกลับเข้าประเทศมาจัดงานศพให้คุณพ่อ แทนที่จะต้องรอประกาศ

นิรโทษกรรมเป็นพุทธบูชาในโอกาสกึ่งพุทธกาลปีหน้า” วรรณวิไลเอ่ยแทรก

เสียงใส หวังเปิดโอกาสให้พี่ชายกล่าวขอบคุณแม่เลี้ยง

ชายหนุ่มมิได้ตอบสนอง กลับก้มลงยกกระเป๋าเดินทางใบเล็กเก่า

โทรม อีกมือประคองหลังนางแจ่มก่อนออกคำสั่งให้น้องชายพาไปยัง

ที่จอดรถ เขาส่งหญิงชราเข้าไปนั่งบนเบาะฟากตรงข้ามคุณหญิงกับ

วรรณวิไลในตอนหลังของรถซึ่งเบาะที่นั่งสองตอนหันเข้าหากัน ส่วนตัวเอง

นั่งข้างหน้าคู่กับน้องชายซึ่งรับหน้าที่สารถี

ก่อนขึ้นรถ แสนยาอดไม่ได้ที่จะกวาดตาไปรอบบริเวณสถานีรถไฟ

อันคึกคักไปด้วยผู้คน ที่จริงเขาสอดส่ายสายตาไปทั่วตั้งแต่รถไฟชะลอ

ความเร็วเข้าเทียบชานชาลา มองหาใครคนหนึ่งที่อยู่ในความคิดทั้งยาม

หลับยามตื่นด้วยความเคียดแค้นแน่นอกมาตลอดเวลาห้าปีที่ลี้ภัยอยู่ที่

สิงคโปร์...ชายหนุ่มลอบถอนใจเมื่อไม่พบแม้เงา บอกตัวเองอย่างประชด

ประชันว่าหวังมากเกินไป คนคนนั้นหรือจะกล้ามาเผชิญหน้าในวันแรก

ที่เขาเหยียบแผ่นดินไทย

แสนยาตบไหล่น้องชายเป็นสัญญาณให้ออกรถ หัวใจหวิววับ

เมื่อมองกระจกข้างไปยังสถานีที่ทิ้งไว้เบื้องหลัง...ผู้หญิงคนนั้นไม่มาจริงๆ

แพศยา เจ้ามารยา แล้วยังขี้ขลาดอีกด้วย เลือกเมียได้ดีเหลือเกินนะแสนยา

...หนุ่มใหญ่เยาะหยันตัวเองในใจ ก่อนจะหันไปสนใจสิ่งก่อสร้างและถนน

ตัดใหม่ซึ่งกล้าหาญชี้ชวนให้ดูตลอดทาง เขาถามถึงบริวารในบ้านและ

ญาติสนิทมิตรสหายบางคน แต่ไม่เอ่ยถึงผู้หญิงคนนั้น และกล้าหาญก็

ดูเหมือนจะรู้ใจพี่ชาย เขาเล่าแม้กระทั่งเรื่องสุนัขในบ้าน แต่ไม่ยอมเฉียด

ใกล้เรื่อง ‘หล่อน’

คนแพศยา เจ้ามารยา และขี้ขลาด รอจนรถคันใหญ่แล่นลับ

ไปจากสายตา จึงก้าวออกจากหลังเสาขนาดใหญ่รูปทรงศิลปะแบบโรมัน

ที่อาศัยซุ่มมองตั้งแต่นาวาตรีนอกราชการเดินลงมาจากรถไฟจนกระทั่ง

พาครอบครัวไปขึ้นรถ หัวใจบีบรัดเมื่อเห็นว่าเขาผอมลงมาก เสื้อเชิ้ต

แขนยาวและกางเกงขายาวที่สวมใส่หลวมโพรกยับย่นจากการเดินทาง

ใบหน้าใต้หนวดเครานั้นตอบซูบ แต่แววตายังแรงกล้าสดใสบอกถึงกำลังใจ

เข้มแข็ง กิริยาท่าทางยังทะนงองอาจสมชายชาติทหาร ความล้มเหลว

และความยากลำบากในต่างแดนไม่อาจทำลายหรือแม้แต่บั่นทอนจิต

วิญญาณ

นงคราญเฝ้ามองไม่วางตา โหยหา...อยากถลาเข้าไปกอดรัด

ด้วยความรักความคิดถึงล้นอก แต่รู้ตัวว่าแม้แต่หน้า เขาก็คงไม่อยาก

มอง อย่าว่าแต่ไปสัมผัสเนื้อตัวเลย สิ่งที่หล่อนตัดสินใจทำหลังจากเขา

ต้องลี้ภัยไปต่างแดน ไม่ว่าจะด้วยเจตนาใดหรือเพื่อใครก็เป็นสิ่งที่สังคม

ตราหน้าว่าแพศยาหน้าด้าน เป็นนางกากียุคใหม่ แม้แต่คนในครอบครัว

ยังตัดขาดไม่คบหา แล้วบุรุษผู้หยิ่งในศักดิ์ศรีและวงศ์ตระกูลเช่นเขานั้น

หรือจะรับได้...ไม่มีทาง

น้ำตาหยดหนึ่งไหลลงมาขังที่ขอบแว่น หญิงสาวยกปลายผ้าโพกผม

ขึ้นมาซับ รีบเก็บกลั้นไม่ให้หยดต่อไปตามมา ไม่เช่นนั้นความทุกข์ที่สะสม

ตลอดห้าปีคงระเบิดเป็นการร้องไห้สะอึกสะอื้น ไม่เป็นอันทำสิ่งที่ตั้งใจไว้

อย่างแรกคือมาเก็บภาพเขาไว้ในความทรงจำให้มากที่สุด อย่างที่สองคือ

มาดูให้แน่ใจว่าไม่มีใครระรานหรือกลั่นแกล้งจับกุมเมื่อเขากลับสู่มาตุภูมิ

หล่อนมองไปรอบๆ เห็นใบหน้าคุ้นตาของตำรวจนอกเครื่องแบบ

ในสังกัดพลตำรวจตรีเดชายืนกระจัดกระจายทั่วหัวลำโพง หลายคนสะดุ้ง

เมื่อสบตาเอาเรื่องของหล่อน ที่เหลือทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ นงคราญเกร็งเครียด

ตลอดเวลาที่แสนยาอยู่ในบริเวณสถานี และลอบถอนใจด้วยความโล่งอก

เมื่อรถคันใหญ่พาเขากับครอบครัวจากไปโดยไม่มีใครเข้าไปวอแว

ทว่ายิ่งรถแล่นห่างออกไปเพียงใด ใจก็ยิ่งห่อเหี่ยว ต่อไปนี้คงยาก

ที่จะได้พบเจอ ปกติแสนยาเป็นคนไม่ชอบออกสังคมอยู่แล้ว นี่ถูกตราหน้า

ว่าเป็นกบฏ คงเก็บตัวมากยิ่งขึ้นไปอีก...นงคราญทอดถอนใจ ถึงอย่างไร

หล่อนก็ไม่ควรค่าที่เขาจะคบหาไม่ว่าในฐานะใด จึงควรพอใจกับการได้รู้

ว่าเขาอยู่รอดปลอดภัย สุขสมบูรณ์อยู่ท่ามกลางญาติพี่น้องในบ้านเกิด

เมืองนอน

เสียงตบเท้าดังข้างตัว นงคราญสะดุ้งเฮือก หลุดจากภวังค์ เมื่อ

หันไปมองก็เห็นตำรวจยศร้อยตรีนายหนึ่งยืนตะเบ๊ะพร้อมแจ้งว่า

“ท่านให้มาเชิญไปพบที่บ้านครับผม”

หญิงสาวไม่ถามแม้แต่คำเดียวว่าท่านคือใคร หล่อนเดินนำไปยังรถ

ซึ่งตำรวจอีกนายหนึ่งขับมาเทียบรอหน้าสถานี พวกเขาพากลับไปที่

‘บ้าน’ ซึ่งเป็นอาคารสามชั้นหลังใหญ่เทอะทะ ถ้าไม่มีระเบียงกว้างและ

หน้าต่างแบบฝรั่งเศสโดยรอบ ดูเผินๆ ก็ป้อมปราการในยุโรปสมัยกลาง

ดีๆ นี่เอง ในยามอารมณ์ดี เจ้าของบ้านเคยบอกย้ำหลายครั้งหลายครา

ด้วยความภาคภูมิว่าบ้านหลังนี้คือเรือนหอ เขาซื้อไว้เพื่อหล่อน แต่

นงคราญขนหัวลุกทุกครั้งที่ได้ยิน เพราะสำหรับหล่อนแล้วคือคุกเปิดที่

แม้ผ่านออกไปนอกประตูได้โดยเสรี แต่ต้องกลับเข้าประตูก่อนมืดทุกวัน

หรือทันทีที่ ‘ท่าน’ เรียกหา มิฉะนั้นตำรวจนอกเครื่องแบบที่ถูกส่งมาตาม

ประกบจะเข้ามาหิ้วปีก หรือที่เรียกอย่างโก้ว่าอารักขา...กลับมาคุมขัง

รถแล่นเลียบรั้วปูนทึบสูงลิบเดินลวดหนามตลอดความยาวก่อน

เลี้ยวเข้าประตูใหญ่ ผ่านตำรวจในป้อมยามซึ่งลุกขึ้นยืนตะเบ๊ะพึ่บพั่บ

นงคราญยืดตัวมองไปยังหน้าต่างห้องมุมซ้ายสุดติดสระบัวด้วยรู้ว่ามีตา

คู่หนึ่งกำลังจ้องมองจากตรงนั้น ก่อนหน้านี้เจ้าของสายตาคงเดินกลับ

ไปกลับมารอคอยอย่างกระวนกระวาย เพราะไม่รู้ว่าหล่อนออกจากบ้าน

แต่เช้าไปทำอะไร

พินิจ พ่อบ้านร่างใหญ่ปราดเข้ามาเปิดประตูรถทันทีที่จอดเทียบ

บันไดหน้ามุข “ท่านให้ไปพบที่ห้องทำงานทันทีที่มาถึงครับ”

นงคราญพยักหน้ารับ แต่แทนที่จะตรงไปหาตามบัญชาซึ่งเป็น

ดั่งประกาศิตสำหรับทุกคนในบ้านนี้ หล่อนกลับเดินขึ้นบันไดไปยังห้องนอน

ทิ้งตัวนั่งบนฟูกหนานิ่มที่เปรียบเสมือนแท่นบูชายัญของหล่อน ก่อนคว้า

โทรศัพท์บนโต๊ะข้างเตียงมาหมุนเบอร์ที่จำได้ขึ้นใจ มันเป็นสายพ่วง เสียง

กริ๊กเบาๆ บอกให้รู้ว่ามีคนกำลังฟังจากอีกเครื่องหนึ่ง คนฟังไม่สนใจว่า

หล่อนจะรู้ หล่อนก็ไม่สนใจว่ามีคนฟังเช่นกัน

“สวัสดีค่ะ บ้านเสนานุรักษ์ค่ะ” เสียงเหน่อไม่คุ้นหูรับสาย คงเป็น

สาวใช้คนใหม่ที่เข้าทำงานเมื่อหล่อนจากมาแล้ว

“ขอเรียนสายคุณแสนยาค่ะ”

“เอ่อ...” คนทางปลายสายอึกอัก สักครู่เสียงแหลมเล็กราวกับเสียง

เด็กของวรรณวิไลก็กรอกเข้ามาในโทรศัพท์ “คุณแสนยาเพิ่งเดินทางมาถึง

กำลังพักผ่อนอยู่ค่ะ ดิฉันเป็นน้อง มีอะไรฝากไว้ไหมคะ”

นงคราญไม่โต้ตอบ วางหูลงอย่างเงียบกริบ ไม่ได้คิดจะพูดกับเขา

แค่อยากได้ยินเสียงห้าวๆ พูดคำว่าฮัลโหลหรือสวัสดีตอนมารับสาย แต่

ถึงไม่ได้ยินเสียง ได้รู้แน่ว่าเขาถึงบ้านปลอดภัย ไม่มีใครดักทำร้ายระหว่าง

ทางก็พอใจแล้ว

หญิงสาวถอนใจยาว หลับตาลง ใบหน้าระบายรอยยิ้มบางๆ เมื่อ

นึกภาพร่างสูงเพรียวเอนกายลงพักผ่อนบนเตียงซึ่งเคยเป็นเตียงวิวาห์

ของเขากับหล่อน จำได้ว่าเคยมีความสุขแค่ไหนยามนั่งหรือนอนมอง

ใบหน้าคมดุพริ้มหลับอย่างสุขสบาย บางครั้งอดใจไม่ไหวเบียดกายเข้าไป

ซุกใกล้ๆ แขนใหญ่กำยำก็ตวัดรวบเข้าไปกกกอด ส่วนใหญ่มักจบลงด้วย

บทรักเร่าร้อนอ่อนหวาน แต่บางคราวแค่หลับไปในอ้อมแขนของกันและกัน

เสียงกระชากประตูเปิดอย่างแรงจนกระแทกกับผนังห้องทำลาย

มโนภาพแตกกระจาย โคมไฟระย้าบนเพดานปูนปั้นลายวิจิตรแกว่งไปมา

อย่างน่ากลัว ทั้งหมดเป็นสัญญาณของฝันร้ายกลางวันแสกๆ

“ฉันสั่งให้ไปพบ ทำไมถึงไม่ไป!” เสียงตวาดดังก้อง พร้อมๆ กับ

ร่างสูงใหญ่กำยำซึ่งสวมเครื่องแบบตำรวจยศนายพลตรีปราดเข้ามาหา

มือใหญ่กระชากแว่นและผ้าโพกผมโยนไปคนละทิศละทางก่อนตวัดร่าง

หล่อนขึ้นมาจ้องตาจนจมูกแทบชนกัน ลมหายใจของเขาร้อนเป็นไฟ

กรามเกร็งกระตุก คิ้วขมวดมุ่นและตาหรี่เรียวจนเห็นแต่ตาดำ บ่งบอก

อารมณ์ได้ดีพอๆ กับกิริยาดุดัน

ผู้ชายคนนี้ดุร้ายจนเข้าขั้นอำมหิต ถึงกระนั้นนงคราญก็รู้ว่ามีผู้หญิง

หลายคนคลั่งไคล้ความหล่อเหี้ยมเกรียมที่มาพร้อมกับความมั่งคั่งและ

อำนาจล้นฟ้า ซึ่งเจ้าตัวก็ตอบสนองเสียทุกคนไป เพียงแต่ไม่มีใครรั้งเขาไว้

ได้นานเกินเดือน ทุกครั้งที่ได้คนใหม่มา เขาจะหายหน้าไป ปล่อยให้หล่อน

ได้อยู่ตามลำพัง ไม่มารบกวนวันละสองสามเวลาเหมือนเคย ทุกครั้ง

นงคราญจะเกิดความหวังว่าเขาคงหลงใหลคนใหม่ ไม่มายุ่งเกี่ยวกับหล่อน

อีกต่อไป และในที่สุดก็คงปล่อยให้เป็นอิสระ แต่พอความหวังสุกงอม

จนถึงขั้นจัดกระเป๋าเตรียมย้ายไปหาที่อยู่ใหม่ เขาก็จะกลับมา และความ

เข้มข้นของอารมณ์และความต้องการในตัวหล่อนก็มักจะเพิ่มขึ้นเป็นทวีคูณ

ทุกครั้งไป

“พูดสิ ทำไมถึงไม่ตอบ!” คราวนี้เขาตวาดใส่จนน้ำลายกระเซ็น

รดหน้า แล้วเขย่าตัวหล่อนจนหัวสั่นหัวคลอน แต่พอนงคราญร้อง “เจ็บนะ”

 

                (โปรดติดตามต่อในฉบับเต็ม)


รีวิว (0)


สินค้าที่ใกล้เคียง (95 รายการ)

www.batorastore.com © 2024