ดวงใจสันนิวาส (รินท์ลภัส)
มีสินค้าในสต็อค
ประหยัด: 187.50 บาท ( 75.00% )
มีสินค้ามือสองอยู่จำนวน : 4 รายการราคา 100.00 บาท - 125.00 บาท ซื้อสินค้ามือสอง
Quick View
เนื้อหาบางส่วน
ดวงใจสันนิวาส
ท่ามกลางเสียงโห่ร้องกึกก้องของกลุ่มชายผิวดำนับร้อย บุรุษหนุ่ม
ผิวขาว สูงราวหกฟุต ถูกนำตัวเข้ามาในลานดินกว้าง ติดกับแม่น้ำสายหนึ่ง
บนเกาะขนาดใหญ่ในแถบซีกโลกเหนือ
วิลเลียม นอร์ธ นักเดินเรือและนักสำรวจหนุ่มชาวอังกฤษกับ
ลูกเรืออีกสิบเอ็ดชีวิตเพิ่งค้นพบเกาะแห่งนี้เมื่อวาน แต่ไม่นึกเลยว่าแสงสุริยัน
ที่ลับขอบฟ้าไปพร้อมกับความฮึกเหิมจะกลับกลายเป็นแสงสว่างสุดท้าย
ของชีวิตที่สามารถมองเห็น
นัยน์ตาสีอัลมอนด์กวาดมองกลุ่มชายผิวดำที่ล้วนนุ่งเพียงผ้าหนังสัตว์
ผืนเดียวพันรอบตะโพก ผิดแผกจากเขาที่สวมเสื้อเชิ้ตแขนยาวสีขาวไหล่พอง
ทับด้วยแจ็กเกตสีน้ำตาลอ่อน กับกางเกงทรงหลวมยาวถึงเข่ารวบปลายขา
บ่งบอกถึงอารยธรรมที่แตกต่างกันอย่างชัดเจน
กลุ่มชายผิวดำยืนล้อมลานดินแห่งนี้เป็นวงกว้าง ในมือถือหอกปลาย
แหลม ส่งเสียงดังลั่นเป็นภาษาถิ่นที่ชายหนุ่มจากแดนไกลไม่อาจเข้าใจ
วิลเลียมถูกพาตัวไปหยุดตรงหน้าแท่นไม้ขนาดใหญ่กลางลานดิน
บนแท่นมีหีบไม้ทรงสี่เหลี่ยมผืนผ้าใบหนึ่ง ขนาดยาวเท่าตัวคน มองดูเผินๆ
ไม่ต่างอะไรจากหีบศพ แม้วิลเลียมจะเริ่มตระหนก แต่สีหน้าของเขากลับยัง
คงราบเรียบ กวาดสายตามองหาโอกาสในการหลบหนีซึ่งดูเหมือนริบหรี่เต็มทน
จวบจนชายผิวดำสองคนที่คุมตัวเขามายังลานดินแห่งนี้ผลักให้ก้าวขึ้น
ไปบนแท่น วิลเลียมก็อาศัยจังหวะนั้นตวัดขาไปเตะก้านคอคนหนึ่งจนล้มตึง
เสียงอึกทึกครึกโครมของกลุ่มชายผิวดำดังขึ้น ต่างมีท่าทีตกใจเช่นเดียว
กับผู้คุมอีกคนที่ส่งปลายหอกแหลมคมพุ่งเข้าหาเขา วิลเลียมจับด้ามหอกไว้
ด้วยมือข้างหนึ่ง แน่ใจว่ามั่นเหมาะ จึงส่งส่วนปลายของมันกระแทกอัดไปยัง
ท้องน้อยคู่ต่อสู้โดยไม่ออมแรง แล้วแย่งอาวุธมาไว้ในมือ
ชายผิวดำอีกนับสิบคนแห่พากันล้อมเข้ามา นักเดินเรือหนุ่มจึงกระโดด
ลงจากแท่น ใช้หอกที่เพิ่งได้มาหมาดๆ เป็นอาวุธในการเข้าประหัตประหาร
แม้ประสบการณ์ต่อสู้กว่าสิบปีในแคริบเบียน ทำให้ วิลเลียม นอร์ธแธม
ป้อนกันตัวเองจากปลายหอกของพวกคนป่าได้หลายครั้งหลายหน ทว่าอยู่ๆ
เขากลับตัวชากะทันหัน หน้ามืด เข้าอ่อนโดยไร้เหตุผล เปิดโอกาสให้กลุ่ม
ยังคอของเขาในจังหวะที่ร่างสูงกำลังทรุดนั่งลงบนพื้นดิน
เพียงเสี้ยวนาทีสั้นๆ วิลเลียมก็ถูกชายผิวดำสองคนหิ้วปีกมานอนลง
ในหีบบนแท่นไม้ ดวงตาของเขาเบิกกว้างเมื่อฝาหีบถูกปิดลงมา บดบังแสงสว่าง
แห่งรุ่งอรุณที่กำลังทาทาบแผ่นฟ้าของวันใหม่
“ปล่อยเข้า!” วิลเลียมเอะอะโวยวาย ยกมือขึ้นผลักฝาหีบที่เป็นเพียงไม้
ธรรมดาๆ ทว่าเขากลับไม่มีเรี่ยวแรงมากพอในการทลายมัน หากเดาไม่ผิด
คงเพราะน้ำขมๆ ในกะลามะพร้าวที่พวกชาวเผ่าจับกรอกใส่ปากเขา ก่อนพา
ตัวมายังลานดินแห่งนี้ มันคงเพิ่งออกฤทธิ์ และทำให้เขารู้สึกอ่อนล้าเมื่อ
พยายามออกแรง
เสียงล็อกกุญแจหีบดังขึ้น ตามด้วยเสียงบทสวดเป็นภาษาที่คนต่างถิ่น
ไม่อาจทราบถึงความหมาย
“ปล่อยข้า...” พยายามตะโกนแม้หมดสิ้นกำลังวังชา กระทั่งเสียงบท
สวดเงียบลง ชายหนุ่มก็รู้สึกได้ว่าหีบไม้ที่เขานอนราบอยู่นี้กำลังถูกยกให้ลอย
ขึ้นในอากาศ
วิลเลียมหน้าตื่น งุนงงว่าพวกคนป่ากำลังจะทำอะไร ก่อนได้ยินเสียง
สตรีนางหนึ่งเอะอะโวยวายท่ามกลางความเงียบงัน
แม้เป็นภาษาที่คนต่างถิ่นอย่างเขาไม่เข้าใจความหมาย แต่เขากลับรับรู้
ได้ถึงเจตนาห้ามปรามจากเจ้าของเสียงที่ค่อนข้างสั่นเครือ
หีบไม้ค่อยๆ เคลื่อนต่ำลงอีกครั้ง ก่อนเริ่มจะไหลไปทางทิศตะวันตก
อย่างเชื่องช้า วิลเลียมใช้ชีวิตบนเรือคาราเวล มากกว่าสิบปี ครู่เดียวเท่านั้น
จึงสรุปได้ว่าตนเองถูกลอยน้ำไปกับหีบไม้ เพียงแต่ไม่รู้ว่าสุดปลายทางคือนรก
หรือสวรรค์
เสียงเอะอะสั่นเครือของสตรีคนเดิมค่อยๆ เบาและเงียบลงตามระยะ
ทางที่ไกลออกมา มีเพียงเสียงกระแสน้ำไหลเฉื่อยเท่านั้นที่ยังคงไม่หยุดนิ่ง
ชายหนุ่มพยายามยกมือขึ้นผลักฝาหีบ ทว่ายิ่งออกแรงกลับยิ่งเหนื่อย
ล้าเพราะฤทธิ์ยาประหลาดที่ถูกบังคับให้ดื่ม จวบจนได้ยินเสียงน้ำตกกระทบ
โขดศิลาดังขึ้นเรื่อยๆ ร่างสูงที่นอนอยู่ในหีบมืดก็รับรู้ได้ว่าชะตาของตนเอง
กำลังจะขาดลง
“บ้าเอ๊ย! ออกสิวะ!” ชายหนุ่มพยายามใช้กำลังเฮือกสุดท้ายกระแทก
ฝาหีบให้เปิดออก แต่เมื่อไม่สำเร็จ หีบจึงค่อยๆ ร่วงลงจากหน้าผาสูง
“ฉิบหายแล้ว!”
เสียงหลงดังก้องไปทั้งหุบเขา เมื่อแรงโน้มถ่วงของโลกดึงหีบและร่าง
ของเขาให้ร่วงลงสู่หายนะ วิลเลียมรู้สึกแรงกระแทกแรงๆ กับโขดศิลา
ก่อนหีบใบหนาจะเคลื่อนถลาไปตามพื้นลื่นและแข็งในเวลาไล่เลี่ยกัน
นักเดินเรือหนุ่มพยายามป้องกันศีรษะตนเองให้ปลอดภัยจากการ
กระแทก เขาไม่แน่ใจว่าเกิดอะไรขึ้นบ้าง เพราะทุกอย่างรวดเร็วจนน่าใจหาย
โครม!
หีบไม้กระแทกเข้ากับของแข็งบางอย่างที่สุดปลายทาง พลอยให้ศีรษะ
ของเขากระแทกกับฝาหีบในคราวเดียวกัน มันลื่นไถลต่อไปอีกนิดหน่อยจึง
ค่อยนิ่งสนิท บรรยากาศเงียบเชียบจนน่างงงัน
วิลเลียมยกมือขึ้นกุมศีรษะ สัมผัสได้ว่าส่วนที่เจ็บค่อนข้างชื้น ทว่า
ไม่อาจบอกได้ว่าเกิดอะไรขึ้นบ้าง สมองของชายหนุ่มค่อนข้างมึนงงและสับสน
ดวงตาพร่ามัวในความมืด เขาไม่ได้ยินเสียงน้ำตกที่เคยดังสนั่น ไม่ได้กลิ่น
อะไรทั้งนั้น รู้เพียงว่ามีไอเย็นจากภายนอกเล็ดลอดเข้ามาสัมผัสกับผิวกาย
ก่อนที่เปลือยตาจะค่อยๆ หนักอึ้ง แล้วไม่รับรู้อะไรอีกเลย
ไม่รู้กระทั่งตนเองหมดสติไปนานแค่ไหน...ทว่ายาวนานเสียจนไอเย็น
จากภายนอกค่อยๆ เกาะตัวเป็นเกล็ดน้ำแข็ง โอบล้อมหีบไม้จนกลายเป็น
เนื้อเดียวกันกับพื้นลื่นเย็นเฉียบ ภายในถ้ำใต้ภูเขาสูงอันถูกปกคลุมด้วยความ
ขาวโพลนของหิมะติดต่อกันเป็นเวลายาวนาน
“ทุกคนที่เคยรู้จัก วิลเลียม นอร์ธแธม ต่างพากันสันนิษฐานว่าเขา
จบชีวิตลงด้วยพายุร้ายในปีคริสต์ศักราช ๑๖๖๒ ระหว่างเดินเรือออกล่า
อาณานิคมภายใต้ธงชาติของเบอร์นีเซีย พร้อมด้วยลูกเรืออีกสิบเอ็ดคน...”
เสียงหวานอ่านประวัตินักสำรวจหนุ่มชาวอังกฤษจากหน้าจอความพิวเตอร์
ก่อนหันมาวิเคราะห์ให้คนที่นั่งอยู่โต๊ะข้างหลังฟัง “ฉันว่าบางทีอีตาวิลเลียม
อะไรนี่อาจเจอ...บัวบุษบา!”
เจ้าของชื่อสะดุ้ง เงยหน้าที่ฟุบอยู่กับแขนตัวเองบนโต๊ะทำงานขึ้น
ทีละน้อย ก่อนกะพริบตาปริบๆ สองสามครั้งไล่ความมึนงงออกไปจากสมอง
ดวงตากลมโตมองตรงไปยังสตรีเล็กที่กำลังนิ่วหน้าไม่พอใจ
“ตกลงว่าแกไม่ได้ฟังฉันเลยใช่ไหม”
บัวบุษบา ฮามิลตัน รู้สึกเส้นเลือดในลำคอตีบขึ้นมากะทันหัน จึง
เพียงยิ้มแห้งๆ แทนการตอบคำถาม ก่อนได้ยินเสียงถอนหายใจจากฝ่าย
ตรงข้ามดังขึ้นอย่างเหนื่อยอ่อน
“ไอ้เราหรือก็อุตส่าตั้งอกตั้งใจอ่านให้ฟัง หวังจะให้เป็นที่ปรึกษา
พลอตนิยายเสียหน่อย...” กิ่งกนกอิดออดด้วยอารมณ์น้อยใจยาวยืด
ระหว่างนั้นบัวบุษบาเหลือบมองนาฬิกาทางมุมขวาของโต๊ะทำงาน ซึ่งตั้งอยู่
ถัดจากปฏิทินปีคริสต์ศักราช ๒๐๑๑
เมื่อเห็นว่าเข็มนาฬิกาชี้บอกเวลาหกโมงเศษ บัวบุษบาจึงเผลออุทาน
“แย่แล้ว!” หล่อนลุกขึ้นพลางถอนเสื้อกาวน์สีขาพาดอย่างลวดๆ บน
เสาไม้สำหรับแขวนเสื้อ แล้วคว้าแจ็กเกตตัวเก่งมาสวม ก่อนเร่งเก็บของบน
โต๊ะทำงานใส่กระเป๋าสะพาย ตรงข้ามกับอีกหนึ่งสาวที่ยังคอยนั่งนิ่ง มอง
พฤติกรรมรีบร้อนเกินกว่าเหตุของบัวบุษบา งงว่าเกิดเรื่องคอขาดบาดตาย
อะไรขึ้น
“ฉันต้องรีบกลับก่อนนะกิ่ง วันนี้มีนัดกินข้าวกับทิน ถ้าไปสายต้อง
ทะเลาะกันอีกแน่เลย เอาไว้ฉันจะมาช่วยปรึกษาพลอตนิยายเรื่องใหม่แก
วันหลังนะ” บัวบุษบาพูดเพียงเท่านั้นก็หุนหันออกไปจากห้องพักแพทย์แผนก
อายุรกรรม มือกดโทรศัพท์รุ่นกลางเก่ากลางใหม่ต่อสายหาแฟนหนุ่มระหว่าง
ก้าวเท้า ทว่าพอยกโทรศัพท์ขึ้นแนบหูกลับไม่ได้ยินเสียงสัญญาณรอสาย
“บ้าจริง...” บัวบุษบาถอนหายใจ ย่นหัวคิ้วเข้าหากันด้วยความกังวล
ระคนหงุดหงิดเล็กๆ เมื่อเห็นว่าหน้าจอมือถือของหล่อนดับสนิท
“ทำไมต้องมาหมดเอาตอนนี้ด้วยก็ไม่รู้” บ่นกับตนเองก่อนหย่อน
โทรศัพท์ลงในกระเป๋า แล้วเร่งฝีเท้าให้ถึงที่หมายโดยไว
หญิงสาวผลักประตูลานจอดรถใต้ตัวอาคารออกมาถึงก็กดรีโมตปลด
ล็อกรถสีควันบุหรี่ที่จอดอยู่ไม่ไกลนัก ก่อนรีบร้อนเข้าไปนั่งประจำที่คนขับ
แล้วขับออกมาจากโรงพยาบาลด้วยความระมัดระวัง
แม้ใจอยากไปอีกที่หมายตามนัด ทว่าบัวบุษบาไม่เคยประมาทเวลา
ขับรถ หญิงสาวได้แต่ถอนหายใจหลายครั้งระหว่างเผชิญกับปัญหาจราจร
อันติดขัดในช่วงหัวค่ำ ดวงตากลมหลุบมองนาฬิกาบนหน้าปัดรถยนต์แทบ
ทุกห้าหรือสิบนาทีด้วยใจกังวล หากเป็นไปได้หล่อนอยากหลักหนีจากความ
สะดวกสบายในเมืองอันแสนศิวิไลซ์นี้เหลือเกิน ติดที่ ‘เขา’ ไม่ยอมตามใจหล่อน
และขอร้องให้คอยปรับตัวตามสภาพสังคมเมืองที่พัฒนาไปข้างหน้าอย่างไม่มี
ที่สิ้นสุด
บัวบุษบาเป็นชาวลำปากโดยกำเนิด มารดาประกอบอาชีพรับราชการครู
อยู่ในอำเภอเล็กๆ ส่วนบิดาเป็นชาวอังกฤษที่เดินทางมารับจ้างสอนภาษา
ในเมืองไทย ทว่าหลังจากแต่งงานและให้กำเนิดบัวบุษบาได้ไม่นาน ทั้งสอง
ก็ประสบอุบัติเหตุเสียชีวิตระหว่างเดินทางกลับบ้านในวันที่ฝนตกหนัก ตอน
นั้นบัวบุษบาอายุเพียงแค่หกขวบ จึงตกอยู่ในความดูแลของ ชลิต วงศ์วริศ
ผู้เป็นพี่ชายแท้ๆ ของแม่ และเป็นญาติสนิทเพียงคนเดียวที่บัวบุษบา
หลงเหลือ
ชลิตส่งเสียเลี้ยงดูหญิงสาวอย่างดี กระทั่งจบชั้นมัธยมปลาย บัวบุษบา
ก็ได้ทุนเรียนต่อไปมหาวิทยาลัยในกรุงเทพฯ แรกเริ่มบัวบุษบาอยากกลับไป
ทำงานใช้ทุนที่โรงพยาบาลในจังหวัดบ้านเกิด แต่ทินกร...คนรักที่เรียนมา
ด้วยกันตั้งแต่ชั้นมัธยมกลับได้ทุนเรียกต่อปริญญาโท และขอให้หล่อนเลือก
ทำงานใช้ทุนที่นี่เพื่อจะได้มีเวลาอยู่ใกล้ชิดกัน
แม้ตอนนี้บัวบุษบาใช้ทุนครบแล้ว ทินกรเองก็เรียนจบตามที่ตั้งใจ
เอาไว้ แต่เขากลับยังไม่ยอมยายออกไปประจำที่โรงพยาบาลในบ้านเกิดตาม
ที่เคยตกลงกัน ชายหนุ่มว่าชีวิตในกรุงเทพฯ ก็สะดวกสบายดี ปัจจุบันนี้
ประจำอยู่โรงพยาบาลเอกชนก็มีรายได้ที่น่าพึงพอใจ ต่อให้หล่อนพร่ำบอก
เสมอว่าอยากกลับไปดูแลลุงที่ลำปางเพราะท่านไม่มีญาติสนิทคนอื่น ทินกร
ก็มีเหตุผลในการโต้แย้งเสมอว่าอีกหน่อยซื้อบ้านสักหลังแล้วไปรับลุงมาอยู่
ด้วยกันก็หมดปัญหา ซึ่งบัวบุษบารู้ดีว่าเป็นเรื่องยาก เพราะลุงของหล่อนเคย
เป็นอาจารย์สอนโบราณคดีในมหาวิทยาลัยแห่งหนึ่งของกรุงเทพฯ มาก่อน
แต่ภายหลังท่านเบื่อสังคมเมืองจึงย้ายกลับไปสอนที่ลำปาง
“สายไปยี่สิบห้านาทีนะครับบัว” เสียงห้าวเครียดตำหนิทันทีที่บัวบุษบา
เดินไปถึงโต๊ะอาหารภายในร้านใหญ่ติดสี่แยกถนน ด้วยการตกแต่งที่ค่อนข้าง
หรูหราและราคาอาหารที่แพงหูฉี่ ลูกค้าส่วนใหญ่จึงมักเป็นพวกมันอันจะกิน
เฉกเช่นเดียวกับทินกรที่เริ่มมีฐานะขึ้นมาในช่วงปีสองปีหลังนี้
บัวบุษบายิ้มเจื่อนๆ เมื่อเห็นสายตาของลูกค้าโต๊ะอื่นมองแปลกๆ มายัง
หล่อน ก่อนรีบนั่งลง อธิบายกับชายหนุ่มที่กำลังนิ่วหน้าไม่พอใจอยู่ตรงข้าม
“ทินก็รู้ว่ารถมันติด”
“บัวก็รู้ว่ารถมันติดแต่บัวก็ยังไม่กระตือรือร้น ทั้งที่บัวออกเวรตอน
ห้าโมง และร้านที่ทินนัดบัวมันก็อยู่ห่างจากโรงพยาบาลของบัวแค่ไม่กี่ป้าย
รถเมล์ แต่บัวกลับใช้เวลาทั้งหมดสองชั่วโมงกับอีกยี่สิบห้านาทีในการขับรถ”
บัวบุษบาเริ่มอายกับการถูกตำหนิต่อหน้าคนมากมาย สายตาของ
ลูกค้าจากโต๊ะอื่นที่พร้อมใจกันหันมามองทำให้หล่อนแทบอยากเอาถุงกระดาษ
คลุมศีรษะแล้วเดินตัวลีบออกไปจากร้านเดี๋ยวนี้
“โธ่ทิน...” หล่อนครางชื่อชายหนุ่มอย่างจนปัญญา “เบาๆ ก็ได้”
เสียงถอนหายใจหนักๆ ดังขึ้น บ่งบอกว่าชายหนุ่มกำลังพยายามสงบ
สติอารมณ์อย่างสุดความสามารถ
“ถ้างั้นบัวก็บอกทินมาสิครับว่าทำไมบัวถึงใช้เวลาตั้งสองชั่วโมงกับ
อีกยี่สิบห้านาทีในการขับรถมาหาทินที่ร้านอาหารซึ่งอยู่ใกล้กับโรงพยาบาลของ
บัวแค่ไม่กี่ป้ายรถเมล์”
“ก็เพราะว่ามันอยู่ใกล้...” บัวบุษบารู้ตัวว่าผิด แต่ก็อยากให้ชายหนุ่ม
ฟังเหตุผลของหล่อนสักนิดก่อนตีโพยตีพายเสียงดังจนรบกวนความเป็น
ส่วนตัวของผู้อื่น “บัวเลยไปนั่งคุยกับกิ่งจะเอามาเป็นฉากในเรื่อง บัวก็เลย
เผลองีบไป”
(ติดตามอ่านต่อได้ในฉบับเต็ม)