เวทมนตร์ดลรัก (Cookie)

เวทมนตร์ดลรัก (Cookie)

0 รีวิว  0 รีวิว    
รหัสสินค้า: 9786160609437
ของหมดถาวร (ต้องการสินค้า)
ราคา: 139.00 บาท 34.75 บาท
ประหยัด: 104.25 บาท ( 75.00% )

เนื้อหาบางส่วน

บทที่ 1

 

ต้นไม้สีเขียวปลูกเรียงรายอยู่รอบด้าน ภายใต้ต้นไทรสูงใหญ่เก่าแก่นั้นมีบ้านจีนโบราณแบบเรือนหมู่สามด้านหลังหนึ่งถูกกิ่งใบหนาทึบของมันแผ่ปกคลุม กระเบื้องที่เป็นรอยด่างดำบนหลังคาและอิฐบล็อกสีแดงที่กะเทาะหลุดร่วงตรงกำแพงบ่งบอกถึงอายุและความเก่าแก่ของมันได้เป็นอย่างดี

ฟลอเรีย จูลากกระเป๋าเดินทางใบย่อมเดินผ่านลานหน้าบ้านซึ่งปกติใช้เป็นที่ตากผักผลไม้แห้ง ขึ้นบันไดหินเข้าไปในโถงบ้าน หลังจากโยนกระเป๋าเดินทางไว้ข้างประตูอย่างไม่สนใจแล้วก็กวาดสายตามองบ้านที่ไม่ได้กลับมานาน

มองมุมผนังห้องซึ่งปูนที่ฉาบไว้หลุดกะเทาะออกจนเห็นอิฐบล็อกสีแดงด้านใน และเก้าอี้ขาหักซึ่งเธอบอกให้พ่อโยนทิ้งตั้งแต่กลับมาเมื่อคราวก่อน แต่บัดนี้กลับยังวางนิ่งอยู่ตรงมุมห้อง คิ้วเรียวสวยขมวดเข้าหากันเล็กน้อย

เธอไม่ได้กลับมานานเท่าไรแล้วนะ หนึ่งเดือนหรือว่าสองเดือน ทำไมบ้านถึงดูโทรมลงทุกวันๆ อย่างนี้

หลังจากเดินออกจากโถงบ้าน ฟลอเรียไม่ได้ตรงไปยังห้องของตัวเอง แต่กลับเดินไปทางห้องครัวซึ่งตั้งอยู่ด้านหลังสุดของบ้าน ทั้งที่เป็นเวลาเที่ยงกลับไม่มีกลิ่นหอมของกับข้าวลอยออกมา และไม่เห็นแม่ที่ควรจะยุ่งจนมือเป็นระวิงอยู่ด้านใน

ไปไหนนะ

หญิงสาวเม้มปากด้วยความสงสัย เดินหาทั่วบ้านแต่ก็ยังไม่เจอพ่อกับแม่ที่ควรจะอยู่ที่นี่อยู่ดี จึงเดินออกไปยังลานหน้าบ้านซึ่งเป็นที่สุดท้ายที่พวกเขาอาจจะไป ถึงได้เห็นคนที่ตามหาตั้งนานพากันเดินกลับมา

เห็นจอบและพลั่วที่อยู่บนไหล่และในมือของพวกท่าน หัวคิ้วก็ย่นเข้าหากัน ก่อนจะตะโกนถามออกไป “พ่อคะ แม่คะ นี่มันก็เที่ยงแล้ว ทำไมป่านนี้เพิ่งกลับมาจากนาล่ะคะ”

พอได้ยินเสียง สตีเฟ่น จูที่ก้มหน้าก้มตาเดินด้วยท่าทางไม่สบอารมณ์กับอะไรสักอย่างก็เงยหน้าขึ้น ทันทีที่เห็นลูกสาว ใบหน้าเครียดขึ้งก็คลายลงพร้อมกับรอยยิ้มที่เปิดกว้างขึ้น “ฟลอเรีย! ลูกกลับมาตั้งแต่เมื่อไร”

“กลับมาสักพักแล้วค่ะ” เห็นพ่อกับแม่ที่อยู่ในสภาพเหงื่อไหลโซมกายและสีหน้าเหน็ดเหนื่อย หญิงสาวจึงกุลีกุจอเข้าไปรับเครื่องมือการเกษตรก่อนจะถามด้วยน้ำเสียงที่นุ่มขึ้น “พ่อกับแม่คงยังไม่ได้ทานข้าว เดี๋ยวหนูเอาของพวกนี้ไปเก็บในโกดังให้ พ่อกับแม่ไปเปลี่ยนเสื้อผ้าสะอาดเถอะค่ะ หนูจะพาไปกินข้าวที่ร้านในเมือง”

เมื่อได้ยินว่าจะต้องเสียเงิน โซเฟียก็รีบปฏิเสธทันที “กินข้าวข้างนอกแพงนะลูก เราอยู่บ้านทำกับข้าวสักอย่างสองอย่างก็ได้ อย่าไปเสียเงินข้างนอกเลย”

สตีเฟ่นเองก็เห็นพ้อง “นั่นสิ ตอนนี้น้ำมันราคาแพง ลูกนั่งรถกลับมาเที่ยวนึงก็ไม่ใช่ถูกๆ อย่าออกไปกินข้าวให้เปลืองเงินอีกเลย ประหยัดเงินไว้ ลูกกลับไปไทเปอยากกินอะไรค่อยกิน พวกเรากินอะไรง่ายๆ กันก็ได้”

ฟลอเรียเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย รู้ว่าถึงปฏิเสธไปพ่อกับแม่ก็คงไม่ยอมจึงพยักหน้าตอบตกลงแล้วเอาเครื่องมือไปเก็บในโกดัง

ร่างเล็กเดินเข้าไปในห้องที่เมื่อตอนเธอเด็กๆ ยังเป็นห้องหนังสือ แต่บัดนี้กลับกลายเป็นโกดังเก็บกองเครื่องมือก็อดรู้สึกเศร้าใจไม่ได้

นึกถึงตระกูลจูที่เมื่อก่อนเคยเป็นตระกูลผู้ใช้อาคมที่มั่งคั่งและมีชื่อเสียงในเรื่องขับไล่ภูตผีปีศาจ แต่ตอนนี้กลับมีสภาพตกต่ำจนแทบไม่เหลืออะไร ทำเอาเธอทั้งรู้สึกหดหู่และจนใจ

ไม่รู้ว่าตั้งแต่ยุคสมัยไหนที่คนในตระกูลจูมีพลังพิเศษในการติดต่อกับวิญญาณและขับไล่วิญญาณชั่วร้าย เธอรู้แต่เพียงว่าความสามารถนี้ได้ตกทอดมาอย่างน้อยห้าร้อยปี กาลเวลาที่ล่วงเลยและการแต่งงานข้ามสายเลือดทำให้ความสามารถของคนในตระกูลจูไม่เข้มข้นเหมือนเมื่อก่อน ยิ่งในยุคที่ทุกอย่างเชื่อในเหตุผลทางวิทยาศาสตร์ ชื่อเสียงของตระกูลจูจึงค่อยๆ หดหายไม่โด่งดังเช่นสมัยก่อน

ยิ่งไปกว่านั้นแม้พระเจ้าจะประทานพลังพิเศษให้กับคนตระกูลจู หากก็คล้ายกับเกรงว่าความสามารถของพวกเขาจะแข็งแกร่งเกินไป ดังนั้นผู้สืบสายเลือดไม่ว่ายุคสมัยไหน เมื่อถึงช่วงเวลาหนึ่งพลังหยั่งรู้วิญญาณก็จะค่อยๆ หายไปและกลายเป็นคนธรรมดา

นี่ก็คือสาเหตุหลักของความตกต่ำของตระกูลจู ถึงแม้ความสามารถของเธอ ฟลอเรีย จูจะเป็นที่หนึ่งในยุคนี้ แต่ก็ไม่รู้ว่ามันจะหายไปเมื่อไร ดังนั้นเธอจึงเลือกที่จะใช้ชีวิตอย่างสงบสุข ไม่ขับไล่วิญญาณชั่วร้ายสิ่งอัปมงคลตามคำขอของบรรดาเศรษฐี ไม่หาเงินเพื่อความสุขสบายของชีวิตที่เหลือเหมือนกับบรรพบุรุษ แต่เลือกที่จะเป็นอย่างพ่อ อยู่ในที่ที่อยากอยู่ ช่วยคนที่อยากช่วย ถึงจะหาเงินได้ไม่มาก แต่ขอแค่เลี้ยงปากเลี้ยงท้องได้ก็พอ หากตอนนี้...

คิดถึงพ่อกับแม่ที่ยังทำงานอยู่ในทุ่งนาแม้จะเป็นเวลาใกล้เที่ยง และเห็นตำราบทสวดขับไล่ปีศาจที่ตกทอดมาจากบรรพบุรุษมีฝุ่นจับหนาเตอะ ใจของเธอก็หม่นเศร้าอย่างระงับไม่อยู่

“ฟลอเรีย ทำไมยังไม่ออกมาล่ะลูก มาเร็ว! พ่อมีเรื่องอยากจะปรึกษา”

ได้ยินเสียงเรียกของผู้เป็นพ่อ ฟลอเรียจึงได้สติ รีบเก็บข้าวของเครื่องมือแล้วล็อกประตูเดินกลับเข้าไปในบ้านเรือนหลัก

ทันทีที่เข้าไปก็เห็นพ่อที่อยู่ในชุดสะอาดสะอ้านนั่งรออยู่บนเก้าอี้ หญิงสาวเดินเข้าไปหาแล้วนั่งลงข้างๆ

“พ่อจะปรึกษาหนูเรื่องอะไรคะ” ถึงจะรู้ดีอยู่แก่ใจ แต่เธอก็ยังถามออกไปเสียงเบา

เห็นสีหน้าเหมือนรู้ว่าเขาจะพูดอะไรของลูกสาว สตีเฟ่นก็รู้สึกกระอักกระอ่วน หากยังเอ่ยปากออกไป “ไม่ใช่เรื่องสำคัญอะไรหรอก ก็เรื่องหลานชายลุงหลันที่พ่อพูดกับลูกคราวที่แล้ว...”

ถึงแม้จะเป็นผู้สืบทอดตระกูลจู แต่เขาก็ใช้ชีวิตอย่างเรียบง่าย ไม่สนใจในลาภยศชื่อเสียง อีกทั้งพลังหยั่งรู้วิญญาณก็หายไปหมดแล้วเมื่อหลายปีก่อน ถึงใจเขาจะอยากแต่สังขารก็ไม่อำนวย เขาถึงได้ย้ายกลับมาที่เมืองเจียอี้ซึ่งเป็นบ้านเกิดเพื่อทำนาหาเลี้ยงตัวเอง

ทว่าตระกูลจูของพวกเขาไม่ได้ถึงกับสาบสูญไป หากตั้งใจสืบหาสักหน่อยก็จะทราบถึงชื่อเสียงในอดีตของพวกเขา และนี่ก็คือสาเหตุที่ทำไมตระกูลหลันถึงมาตามหาตาแก่ไร้ความสามารถอย่างเขา

ตอนแรกเขาไม่รู้ว่าคนที่ตามหาเขาคืออาเธอร์ หลัน ประธานบริหารของโรงแรมชื่อดังในเครือ ‘Cumulus Group’ เพียงแต่รู้สึกว่าผู้ชายที่บอกว่าตัวเองอายุมากกว่าเขาห้าปีแต่ดูเหมือนอายุแค่เพียงสี่สิบกว่าเป็นคนสายตาเฉียบแหลม มีบุคลิกท่าทางที่ให้ความรู้สึกไม่เหมือนคนทั่วไป ดูเป็นมิตรไม่เหมือนพวกเศรษฐีหัวสูงที่เย่อหยิ่ง

ตอนที่ได้รู้จักกันครั้งแรก อาเธอร์กำลังแข่งหมากรุกในสวนแห่งเดียวของหมู่บ้าน ฝีมือเขาน่าทึ่งมาก เขาชนะติดกันหลายเกมจนชาวบ้านที่ปกติจะเล่นหมากรุกเพียงเพื่อความบันเทิงเกิดความฮึกเหิมขึ้นมา พากันตะโกนโห่ร้องสะบัดธงเชียร์พวกพ้องของตน กระทั่งสตีเฟ่นมาจากที่นาก็ไม่มีใครเป็นคู่ต่อสู้ของอาเธอร์ได้แล้ว

ตอนนั้นสตีเฟ่นถึงได้รู้ว่าอาเธอร์ต้องการมาพบเขาแต่ไม่รู้ว่าเผลอตัวไปเล่นหมากรุกกับพวกชาวบ้านได้ยังไง รอไปรอมาจนถึงตอนปลาย กระทั่งสตีเฟ่นเดินผ่านมาแล้วมีคนทัก อาเธอร์ถึงได้สติและนึกจุดประสงค์ของตัวเองได้ จากนั้นจึงตามสตีเฟ่นไปที่บ้านแล้วบอกถึงสาเหตุที่มาพบเขา

แท้จริงแล้วพื้นเพของตระกูลหลันเป็นตระกูลใหญ่มีชื่อเสียงที่สืบทอดจากรุ่นสู่รุ่นมาตั้งแต่สมัยราชวงศ์หมิง ไม่เพียงแต่ลบล้างคำพูดที่ว่า ‘ไม่มีครอบครัวใดร่ำรวยเกินสามชั่วอายุคน’ ยังถึงกับสืบทอดต่อกันมาหลายร้อยปี เพียงแต่ถึงแม้ตระกูลหลันจะร่ำรวยด้วยชื่อเสียงเงินทองมากขึ้นทุกวันๆ และเหมือนจะมีความสุขถึงพร้อมในทุกด้าน หากความจริงแล้วยังมีเรื่องน่าเศร้าซุกซ่อนอยู่

นั่นก็คือคำสาป

มีเรื่องเล่าขานว่าบรรพบุรุษของตระกูลหลันได้เคยกระทำผิดต่อผู้หญิงคนหนึ่ง จนผู้หญิงคนนั้นเสียชีวิต ด้วยความโกรธแค้นก่อนตายเธอจึงสาปแช่งให้ลูกหลานตระกูลหลันต้องทนทุกข์กับความเจ็บปวดไปตลอดชีวิตและพบกับจุดจบที่เป็นหายนะ

เวลานั้นไม่มีใครคาดคิดว่าอำนาจของคำสาปจะแข็งแกร่ง ครั้งเดียวอาจจะนับว่าเป็นอุบัติเหตุ สองครั้งอาจจะถือเป็นความบังเอิญ แต่สามครั้ง สี่ครั้ง และอีกหลายต่อหลายครั้งจากนั้นล่ะ

ท้ายที่สุดก็ไม่มีใครกล้าเมินเฉยต่อคำสาปนั้นอีก คนในตระกูลหลันเริ่มที่จะเชื่อเรื่องนี้ และคิดหาทางป้องกันต่างๆ นานา

คำสาปไม่ได้มีผลต่อลูกหลานทุกคนในตระกูลหลัน แต่จะมีผลเฉพาะเพียงสายเลือดหลัก หรือก็คือลูกหลานที่เป็นสายเลือดโดยตรงของบรรพบุรุษ ดังนั้นสายเลือดหลักที่สืบทอดกันมาแต่ละรุ่นจึงพบกับความโชคร้ายตลอดมา

เพราะชีวิตที่โชคร้ายบวกกับคำสาปที่ผูกติดกับตัว หลายร้อยปีมานี้สายเลือดรองที่มีใจออกห่างจากสายเลือดหลักจึงเกิดความละโมบ คิดแย่งชิงอำนาจและทรัพย์สมบัติโดยไม่เลือกวิธีการ เพราะไม่มีใครอยากสละชีวิตตัวเองเพื่อคนอื่น ใครๆ ก็อยากให้สิ่งที่ตัวเองลงทุนลงแรงไปให้ผลงอกงามกับตัวเองเพียงฝ่ายเดียว

การต่อสู้ขัดแย้งภายในบ้านเกิดขึ้นหลายครั้งหลายครา ผู้นำตระกูลหลันในแต่ละรุ่นจึงคิดหาทางป้องกัน โดยการเลือกผู้รักษาการแทนที่จงรักภักดีและมีความสามารถจากคนในสายเลือดรองมาช่วยดูแลกิจการอันยิ่งใหญ่ รวมถึงผู้สืบทอดคนต่อไปหลังจากที่ตัวเองลาโลกไปแล้ว

และอาเธอร์ก็คือผู้รักษาการแทนของตระกูลหลันในรุ่นก่อน

อันที่จริงวิธีปฏิบัตินี้กระทำกันมาหลายร้อยปีแล้วในตระกูลหลัน สายตาของผู้นำตระกูลหลันล้วนเฉียบแหลม ผ่านมายาวนานถึงปัจจุบันก็ยังไม่เคยเกิดเหตุการณ์ทรยศหักหลังแย่งชิงอำนาจ หากแต่ในยุคนี้ที่โจเอล หลันเป็นผู้นำตระกูลกลับเกิดความเปลี่ยนแปลง

โจเอล หลันที่ปีนี้อายุยี่สิบหก เขาไม่เหมือนกับบรรพบุรุษคนก่อนๆ ที่เป็นโรคหัวใจ เนื้องอกในสมอง หรือภาวะระบบไหลเวียนเลือดล้มเหลว ตรงกันข้ามเขามีร่างกายแข็งแรงมาตลอด ผลการตรวจสุขภาพทุกครึ่งปีก็ระบุว่าเขาไม่มีวี่แววว่าจะเกิดโรคใดๆ ทว่าจู่ๆ ร่างกายของเขากลับเกิดความผิดปกติเมื่อตอนอายุยี่สิบสี่

สุขภาพของเขาเสื่อมถอยลงทุกวันๆ ไม่ว่าไปหาหมอเก่งๆ สถาบันไหนก็ตรวจหาสาเหตุของโรคไม่พบ ทำได้เพียงมองเรี่ยวแรงและพละกำลังของตัวเองที่ค่อยๆ หายไปไม่หยุด กระทั่งปีที่แล้วเขาถึงกับเดินไม่ได้ ได้แต่นั่งวีลแชร์ให้คนอื่นเข็น

ทว่าสิ่งที่ร้ายแรงที่สุดกลับไม่ใช่เรื่องนี้ แม้สถานการณ์ของโจเอลจะผิดแผกกับบรรพบุรุษคนก่อนๆ แต่ก็ไม่มีใครกล้าเมินเฉยต่อคำสาป ในขณะที่ร่างกายอ่อนแอลงทุกวันๆ เขาก็เริ่มลงมือจัดการเตรียมทุกอย่าง หากก็จนใจที่แผนการที่วางไว้ตามการเปลี่ยนแปลงไม่ทัน

คนปกติจู่ๆ ก็เดินไม่ได้ ต้องนั่งให้คนเข็นวีลแชร์ให้ เรื่องนี้ส่งผลกระทบต่อจิตใจคนทะนงตนอย่างโจเอลอย่างรุนแรง เขาที่เดินเหินไปไหนมาไหนไม่ได้จึงกลายเป็นคนอารมณ์ร้าย เก็บตัวอยู่ในบ้านทั้งวันไม่ไปไหน ถึงขั้นหลบหนีไม่ยอมเจอหน้าแม้กระทั่งคู่หมั้น สิ่งนี้ทำให้อาเธอร์ร้อนใจจนทนไม่ไหว เพราะโจเอลไม่มีทายาท และไม่ยอมเลือกกระทั่งผู้รักษาการแทน

ความดื้อดึงของโจเอลไม่มีใครสามารถเกลี้ยกล่อมได้ แม้แต่อาที่เลี้ยงดูมาอย่างเขายังโน้มน้าวไม่สำเร็จ เขาถึงได้หยิบวิธีการที่ละทิ้งไปนานขึ้นมาปัดฝุ่นใหม่ นั่นคือ...การถอนคำสาป

หลายร้อยปีที่ผ่านมาบรรพบุรุษตระกูลหลันได้เคยลองวิธีการต่างๆ แต่ก็หาหนทางทำลายคำสาปไม่พบ ถึงได้เปลี่ยนไปใช้วิธีเลือกผู้รักษาการแทนและรีบมีทายาทให้เร็วที่สุดเป็นการแก้ปัญหา แต่ในเมื่อโจเอลไม่มีลูกชาย และไม่เลือกผู้รักษาการแทน เขาเลยได้แต่หยิบวิธีการเก่ามาใช้

ดังนั้นตั้งแต่ปีที่แล้ว อาเธอร์จึงวิ่งรอกทุกหนทุกแห่งเพื่อตามหาผู้วิเศษมาแก้คำสาปนี้ จนถึงตอนนี้ก็ยังไม่มีใครสามารถทำได้ แต่ละคนที่ก้าวเข้าไปในตระกูลหลันด้วยท่าทางมาดมั่นสุดท้ายก็ลนลานตาลีตาเหลือกหนีออกมาราวกับพบเจอเรื่องน่าสะพรึง และทุกคนล้วนให้คำตอบกับเขาว่าไม่มีทางถอนคำสาปได้และให้เขายอมแพ้เสีย

แต่เขาไม่ยอมแพ้ แม้เกือบจะถอดใจ แต่เขาก็ยังตามหาคนสกุลจูซึ่งเป็นความหวังเดียวที่เหลืออยู่

ตอนที่สตีเฟ่นฟังคำอธิบายของเขาจบ ความคิดแรกที่อยู่ในหัวคือ ‘เจอเรื่องยุ่งยากมากเสียแล้ว’

ดูจากอิทธิพลและความมั่งคั่งของตระกูลหลันแล้ว หากจะหานักพรตผู้ใช้อาคมที่เก่งกาจกว่าพวกเขาตระกูลจูเป็นร้อยเท่าใช่ว่าจะไม่มี อาเธอร์กลับมาที่ตระกูลจู ถึงขั้นอธิบายกับเขาว่าได้ตามหาคนที่สามารถช่วยเหลือได้จนทั่วแล้ว แต่เรื่องคำสาปของตระกูลหลันเล่าต่อๆ กันไปรวดเร็วมาก ไม่ว่าคนที่มีวิชาอาคมร้ายกาจแค่ไหน แม้จะต้องการเงินแต่ก็รักชีวิตตัวเองมากกว่า ดังนั้นคำตอบจึงเป็นว่าไม่มีใครกล้ารับ อาเธอร์จึงไม่มีทางเลือกและจำต้องมาหาคนที่หลีกหนีมาใช้ชีวิตสันโดษอย่างเขา

สตีเฟ่นรู้สึกชื่นชมความตรงไปตรงมาของอีกฝ่าย อีกทั้งอาเธอร์เป็นคนจริงใจเปิดเผย ไม่มีการวางท่าเขื่องโข ทั้งสองคนจึงนับถือเป็นพี่น้องกันอย่างรวดเร็ว แม้จะรู้ดีว่าเป็นเรื่องลำบาก แต่เขาก็ยังตบอกแล้วรับปากไป

แต่พอรับปากไปแล้วเขากลับรู้สึกเสียใจ เพราะเขาไม่มีพลังพิเศษอะไรนานแล้ว คนที่สามารถช่วยเหลือได้ไม่ใช่ตัวเองที่ตบอกรับคำอาเธอร์

(ติดตามต่อได้ในฉบับเต็ม)


รีวิว (0)


สินค้าที่ใกล้เคียง (65 รายการ)

www.batorastore.com © 2024