มนตราเงินตรา (โสภี พรรณราย)

0 รีวิว  0 รีวิว    
รหัสสินค้า: 9789740435709
ของหมด (ต้องการสินค้า)
ราคา: 370.00 บาท 92.50 บาท
ประหยัด: 277.50 บาท ( 75.00% )

เนื้อหาบางส่วน

ดาเรศ มะลิแก้ว มาเดินเล่นที่ศูนย์การค้า หล่อนตกงานมาสองเดือนกว่า

แล้วและสมัครงานไว้หลายแห่ง เช้านี้เพิ่งไปสมัครงานอีกแห่งก่อนจะออกมาเดินเล่นฆ่า

เวลาในห้างสรรพสินค้า ซึ่งเย็นสบายด้วยเครื่องปรับอากาศ

อยู่บ้านจะร้อนมาก

บ้านหล่อนเป็นบ้านเช่าสองชั้นเล็ก ๆ เนื้อที่สี่สิบตารางวา มีสามห้องนอน

ในบ้านมีเครื่องปรับอากาศเก่า ๆ สองเครื่อง ปกติจะไม่เปิดกัน เพราะต้องประหยัด

เดือนไหนร้อนมากจนต้องเปิดแอร์…ค่าไฟจะพุ่งไปถึงพันกว่าบาท…ในเวลานี้…

เวลาที่ตกงาน…ประหยัดได้ควรประหยัด…กระเป๋าหล่อนเบาลงทุกเดือน…ทุก

เดือน…พอตกงานต้องใช้เงินเก่า …มีแต่รายจ่ายไม่มีรายรับ

สิ่งที่ต้องการเวลานี้คือ… เงิน …

เป็นความฝันของดาเรศตั้งแต่เป็นสาว…หล่อนจะหาแฟนรวย ๆ…หล่อน

ต้องรวย!

ความฝันหล่อนเกือบสำเร็จแล้ว…จู่ ๆ ก็ดับไปเฉย…เพราะ…ตกงาน...

บริษัทปิดกิจการเจ้าของบริษัทหนีหายไป…

เจ้าของบริษัทคือหนุ่มที่หล่อนคิดว่าเขาเป็นหนุ่มในฝันของสาว ๆ

หล่อนจบปริญญาตรีบริหารทั่วไป…แต่ทำงานในตำแหน่งเลขานุการของ

เจ้าของบริษัทหนุ่ม เขาจีบหล่อน…เอาใจหล่อน…ไม่มีเหตุผลที่หล่อนจะปฏิเสธเลย

เพราะเขารวย…หน้าตาดี มีการศึกษาสูง แถมยังเป็นเจ้าของกิจการ

ดาเรศพาเขามาแนะนำกับแม่ กับพี่สาวแล้วด้วยซ้ำ…

จู่ ๆ…บริษัทก็เจ๊งขาดทุน…และเขาก็หายตัวไปเลย หญิงสาวออกจะงง ๆ…

ขาดทุนได้อย่างไร…ก็เห็นค้าขายดี…ได้กำไร…หากผลสรุปสุดท้าย…ขาดทุน

เจ้าของบริษัทนำเงินไปหมุนอย่างอื่น…เป็นความผิดพลาดของเขา…หรือจะหนีรวย…

ดำรง…ชื่อนี้หล่อนไม่อยากจะจดจำเลย…

ดำรงหนีหายไป…ปล่อยให้เลขาฯอย่างหล่อนกับพนักงานอยู่รับหน้าเจ้าหนี้

แถมดาเรศยังเกือบถูกพนักงานอื่น ๆ เข้าใจผิดว่าร่วมมือกับดำรง เพราะสนิทกับ

เจ้าของบริษัทเป็นพิเศษ กว่าหญิงสาวจะเคลียร์ตัวเองได้ก็แทบแย่

ผ่านมาสองเดือน…หญิงสาวจะเริ่มต้นใหม่…ดาเรศไม่เคยยอมแพ้

อะไรง่าย ๆ

เที่ยงแล้ว ภายในห้างฯ มีลูกค้าเข้ามาจับจ่ายหนาตา… ทั้งจากบรรดาแม่บ้าน

และคนที่มีทำงาน… พนักงานบริษัทในละแวกใกล้เคียง มีเวลาพักหนึ่งชั่วโมง ก็

ออกมาทานอาหาร และช็อปปิ้ง

หน้าบริเวณซูเปอร์มาเก็ตกำลังมีเซลส์มาสาธิตทำขนมอบ…กลิ่นขนมอบ

หอมฟุ้งไปทั่ว…นอกจากการสาธิตแล้วยังแจกขนมอบให้ชิมกัน…คนที่มุงดูหลาย

สิบคน…ต่างอยากชิมขนมอบ เพราะทั้งสีสันน่ารับประทานและกลิ่นหอมมาก

ดาเรศเป็นคนหนึ่งที่เดินเข้าไปรับแจกขนมด้วย…อยู่ ๆ หล่อนก็ถูกผลัก…

จนเซไปชนคนข้างหน้า

“ว้าย!” หล่อนอุทานเบา ๆ… และรีบหันขวับไปมอง

ผู้ชาย! คนที่อยู่หลังหล่อนเป็นผู้ชาย…หน้าเข้ม…คม…

หล่อนทำหน้าดุ ๆ... เป็นเชิงว่ามาเบียดหล่อนทำไม…หรือ…เป็นพวกโรคจิต

ฉวยโอกาส เบียดเสียดผู้หญิง พอคิดก็ยิ่งไม่พอใจ…

เขาอ่านสายตาหล่อนออก…และกล่าวเบา ๆ

“ข้างหลังเบียดผมมาชนคุณ…”

แก้ตัวหล่อนแสยะปาก…ไม่อยากพูดกับคนแปลกหน้า ถึงจะหน้าตาดีก็

เถอะ…แต่ไม่อยากคุยด้วย

ดาเรศเกือบเข้าถึงด้านหน้าแล้ว…ก็โดนเบียดอีกครั้ง…คราวนี้หล่อนโมโห

ใช้ศอกกระทุ้งไปข้างหลัง

“โอ๊ย!” โดนเข้าจัง ๆ ตรงพุง และยังมีหน้ามาถาม “ทำผมทำไม?”

ดาเรศหันมามอง…ประกายตาหนุ่มระยิบ….ใบหน้าออกจะขำ ๆ ไม่ได้

โกรธ ทั้งที่โดนหล่อนเล่นงาน ทำหน้าราวกับหล่อเต็มประดา ท่าทางจะรู้ตัวว่า

รูปหล่อ ลักษณะจึงเต๊ะ ๆ น่าหมั่นไส้!

หล่อนไม่ตอบ แค่มองเขาหมิ่น ๆ…ได้ยินเขาพูดเบา ๆ

“เออ… ถามก็ไม่ตอบ”

ดาเรศชักรำคาญ…ไม่อยากทานขนมอบแจกฟรีแล้ว…เพราะคนแย่งกัน

เหลือเกิน หล่อนจึงผงะออกมา… และนึกว่านายคนหน้าหล่อจะเบียดผู้หญิงคน

ไหนอีก…น่าเห็นใจผู้หญิงคนนั้น

หญิงสาวพ้นออกมาได้แล้ว หล่อนหิว…เพราะได้เวลาอาหารเที่ยง…

จึงเดินไปศูนย์อาหารจะแลกคูปองอาหารก่อนซื้ออาหารทาน เปิดกระเป๋าใหญ่…

หากระเป๋าเล็ก…แล้วหล่อนก็ใจหายวาบ

กระเป๋าเปิด! กระเป๋าเล็กหายไปแล้ว… รื้อค้นอย่างละเอียด…ไม่มี…

ถูกล้วงประเป๋า…

ในกระเป๋าเล็ก…หล่อนใส่เอกสารสำคัญไว้ ทั้งบัตรประชาชน บัตรเอทีเอ็ม

และเงินสด…สามพันบาท แบงก์พันสามใบ…เศษเงินเล็กน้อย…จำไม่ได้ว่าเท่าไหร่

ใคร…เมื่อไหร่…ที่ไหน?

แล้วหล่อนก็นึกขึ้นได้…ผู้ชายคนนั้น!

คนที่เบียดหล่อน…เบียดถึงสองครั้ง…จังหวะที่คนแน่นเปิดกระเป๋าใหญ่…

ล้วงกระเป๋าใบเล็กไป เพราะกระเป๋าหล่อนสะพายไว้ข้างตัว พอถูกเบียดไปเบียด

มากระเป๋าจึงเอียงไปข้างหลัง ขาดความระวัง…ประมาท…

นายคนนั้นแน่ ๆ…หล่อนวิ่งไปที่บริเวณสาธิตทำขนมอบ ยังมีคนหนาตา…

มองไปรอบ ๆ…ปราศจากเงาหนุ่มหล่อเข้ม…เขาหายไปแล้ว

หล่อนกลืนน้ำลายยากเย็น…ได้เงินแล้วนี่…เอาไปแล้ว…สบายไปเลย…

แต่ก็ยังวิ่งหา เผื่อจะฟลุกพบเขา

หล่อนวิ่งตามหารอบ ๆ…เหลือเชื่อ…หล่อนเห็นเขาแล้ว…จำไม่ผิดหรอก

…จำได้แม่น เพราะหน้าตาเด่น…

“จับได้แล้ว!” ดาเรศวิ่งไปทันที…ตวาดลั่น “เอาเงินฉันคืนมานะ!”

เขา…งง…อยู่ ๆ…เจ้าหล่อน…อ๋อ…สาวหน้าขรึม…เพิ่งแยกกันเมื่อครู่…

“เงินอะไรของคุณ?”

“นายล้วงกระเป๋าฉัน!”

“ผมลวงกระเป๋าคุณ?” ทำหน้างงสุดขีด

เขาชื่อกวิน…

กวินเอ๋ย…ทำไมนายโชคร้ายอย่างงี้…อยู่ ๆ ก็โดนข้อหาขโมย…

“นายเบียดฉันเมื่อกี้นี้…ฉันมาปะติปะต่อจนนึกออกว่านายเบียดฉัน…

ที่แท้ก็ล้วงกระเป๋า…”

ชายหนุ่มคอย่น

“คุณ…จะตั้งข้อหาผมคุณต้องมีหลักฐาน…ผมไม่ชอบข้อหาคุณเลย…ฟังแล้ว

กลัวเจอตำรวจ!”

“เอากระเป๋าฉันคืนมา”

“ผมไม่ได้เอากระเป๋าของคุณไป”

“คืนมานะ อย่าปากแข็ง”

                “คุณก็ค้นสิ…” พูดพลางกางแขนออก

                กวินท้าให้ค้น…ดาเรศรู้ว่าไม่มีทางได้แล้ว…

                “เพราะพวกนายมีเป็นขบวนการ…ทำกันเป็นแก๊ง…กล้าท้าให้ค้นเพราะไม่อยู่ในกระเป๋านายแล้ว”

                “มาคนเดียว หาว่ามาเป็นแก๊งซะอีก”

                เพราะดาเรศเสียงดัง ทำให้คนเดินผ่านไปมาเริ่มเข้ามามุงดู…และเพราะหล่อนมั่นใจ จึงไม่ยอมปล่อยนายคนนี้เด็ดขาดถึงมีคนมุงดูก็ตาม…

                “แก๊งล้วงกระเป๋า!” แถมยังประจานเขา

                กวินตกใจ “คุณ…เฮ้ย! ทำไมกลายเป็นแบบนี้ไปได้…”

                ชายหนุ่มจะผละไปก็ถูกดาเรศจับแขนไว้ พลางกล่าวเสียงดัง

                “ช่วยเรียกยามด้วยค่ะ” ไม่ทันขาดคำ…ยามของห้างฯ ก็มาถึง แต่ทำอะไร

กวินไม่ได้ เพราะปราศจากหลักฐาน

                เขาท้าให้ยามค้นตัว

                “ยาม…ลองค้นตัวผมก็ได้…ผมบริสุทธิ์ เป็นลูกค้าห้างเหมือนคนอื่น ๆ...

ทำอะไรเกินไป ผมร้องเรียนเจ้านายคุณแน่…”

                ดาเรศถือว่าเขาขู่ยามที่รักษาความปลอดภัย

                “นี่…นายเป็นพวกมืออาชีพ…ทำผิดแล้วยังไม่สะทกสะท้าน ยังพูดขู่อีก…”

                กวินเสียงดังขึ้นบ้าง เพราะถูกหล่อนใส่ร้ายเท่านี้ก็เสียหน้าพอแล้ว

                “ผมไม่พอใจอย่างมาก…อยู่ ๆ มาหาว่าผมเป็นแก๊งล้วงกระเป๋า ถ้าคุณ

จะให้เรื่องถึงตำรวจ ผมจะฟ้องคุณกลับ”

                ดาเรศหน้าเข้มด้วยความโกรธ

                “ฉันเอาเรื่องนายถึงที่สุดแน่…ยามทำอะไรคุณไม่ได้ ก็เรียกตำรวจ!”

                หญิงสาวมั่นใจ…ก่อนหน้านี้มีแต่เขาคนเดียวที่เบียดหล่อน…อยู่ใกล้กับ

หล่อน…

                “ตำรวจก็ตำรวจ…ผมไม่กลัว!”

                และก่อนจะเกิดอะไรต่อไป…ยามสองคนคุมตัวชายคนหนึ่งผอมและสูง…

ก้มหน้าก้มตาไม่กล้าสบตาใคร เดินมา…

                ยามคนหนึ่งกล่าวกับเพื่อน “จับคนล้วงกระเป๋าได้แล้ว…มีของกลางสอง

ราย…” แล้วมองหน้าดาเรศ…ส่งกระเป๋าให้หล่อน พลางถาม “ใบนี้ของคุณหรือเปล่า?”

                ดาเรศดีใจ…ละล่ำละลัก “ใช่แล้ว…ใช่แล้ว…ของฉัน”

                ของในกระเป๋ายังครบ…เงินสามพันบาทเศษ และบัตรประชาชนที่เป็น

หลักฐานสำคัญ

                ยามคนที่จับขโมยได้อธิบายว่า

                “ได้ยินคุณโวยวายว่ากระเป๋าหาย…ผมเฝ้าอยู่ด้านโน้น เห็นคนคนนี้มีพิรุธ

รีบจะวิ่งหลบออกไป…ลนลานผิดปกติจึงขอตรวจค้น…แต่เขาวิ่งหนี ผมเลยวิ่ง

ตาม…ค้นของในตัวเจอกระเป๋าผู้หญิงสองใบ…ล้วงกระเป๋าคุณยังล้วงกระเป๋าคน

อื่นด้วย…ผมจะจับไปพบหัวหน้า…”

                ดาเรศได้ของคืนแล้ว…หล่อนหน้าแดงเมื่อสบตากับชายคนนั้น ซึ่งกำลัง

มองหล่อนเขม็ง!

                กวินเย็นชา…ทำหน้าบึ้ง เป็นทีของเขาบ้างแล้ว…ดูสิว่าหล่อนจะพูดอะไร…

                ดาเรศอาย…รีบบอกกับยามว่า

                “ฉันไม่เอาเรื่อง…ฉันได้ของคืนแล้ว…จะรีบกลับ!” ว่าแล้วก็วิ่งออกมา…

                อายจนอยากแทรกแผ่นดินหนี…โล่งอกเมื่อผ่านพ้นมาได้…จากสายตา

หลายคู่…และร้ายกว่านั้น พ้นจากสายตานายคนนั้น…

                จริง ๆ แล้ว…หล่อนยังไม่รู้สึกว่าผิดมากมาย…นอกจากอับอายบ้าง…ก็มา

เบียดหล่อนเอง จะไม่ให้หล่อนระแวงเขาก็ผิดไปแล้ว

                ออกจากศูนย์การค้าแล้วหล่อนหาร้านอาหาร…หิวจนท้องร้อง…หล่อน

เลือกร้านข้าวแกง…สั่งข้าวราดแกงไก่กับไข่ลูกเขย…และน้ำแข็งเปล่าใส่น้ำชาแก้ว

หนึ่ง หล่อนทานอย่างเอร็ดอร่อย…ด้วยความหิว…

                ดาเรศเป็นทานง่าย ๆ เพราะต้องระวังเงินในกระเป๋า เนื่องจากกำลังตกงาน

ทานไปได้หลายคำแล้ว…เกือบอิ่มแล้ว…เพิ่งจะเงยหน้าและมองไปที่โต๊ะอื่น…

ปะทะสายตากับเขา…!

                เขามานั่งทานข้าวแกงตั้งแต่เมื่อไหร่?

 

2

 

ดาเรศกำมือแน่น...หน้าแดง...

โอ๊ย! ทำไมต้องพบเขาอีก...ตั้งใจตามหล่อนมาหรือ?

บังเอิญพบกันหรือ?

หญิงสาวกลืนไม่ค่อยลง...อุปาทานเหมือนกับถูกเขาจับจ้อง...ทั้ง ๆ ที่เขาทานอาหารไปและมองหล่อนเป็นครั้งคราว

กวินเข้ามาทานอาหารโดยไม่ตั้งใจ...โลกกลม...พบหล่อน...แต่ดูท่าหล่อนจะหงุดหงิดและระแวงว่าเขาตามหล่อน ด้วยสัตย์...เปล่า...จนทานอาหารแล้วจึงได้เห็นหล่อน

หล่อนอิ่ม เขาอิ่ม เดินออกมาพบกันหน้าร้าน

กวินมองหล่อน...เขายังเงียบ...สายตาชายหนุ่มดูเหมือนยิ้มเยาะชอบกล...

ผู้ชายคนนี้ดูหน้ายิ้มๆ นะ... ถ้ามองผิวเผิน เหมือนอารมณ์ดีตลอดเวลา... แต่มองลึกๆ...ดาเรศว่าสายตาเขาคมกริบ มีอะไรซุกซ่อน...

ในที่สุดหล่อนต้องถามตรง ๆ “คุณตามฉันมาทำไม?”

กวินยักไหล่ย้อนถาม “ใครตามคุณ...อีกแล้วนะ คุณหาเรื่องผม...หาว่าผมเป็นแก๊งล้วงกระเป๋า พอความจริงเผยออกมา...สักคำก็ไม่ขอโทษผม”

“ถึงคุณไม่ได้ล้วงกระเป๋าฉัน แต่คุณก็ลวนลามฉัน!”

“เฮ้ย!” กวินอุทาน

อีกแล้ว...โดนข้อหาใหม่เสียแล้ว

แล้วรีบถามอย่างสงสัย “ผมลวนลามคุณตอนไหน...ผมไม่ใช่คนโรคจิต”

“คุณเบียดฉันตอนดูสาธิตขนมอบ!”

“นั่นเพราะข้างหลังเบียดผมจนผมต้องเบียดคุณ...ผมไม่ได้ตั้งใจเลย...”

“จะตั้งใจหรือไม่...คุณย่อมรู้อยู่แก่ใจ”

“เดี๋ยวสิ...คุณอย่านอกเรื่อง...ผมพูดเรื่องล้วงกระเป๋า คุณกำลังเบี่ยงเบนประเด็น”

“ไม่รู้ล่ะ...ฉันมองว่าคุณไม่ใช่คนดีเท่าไร...จริงอยู่คุณไม่ได้ล้วงกระเป๋า...แต่คุณ...”

กวินโบกมือห้ามก่อนหล่อนพูดจบ

“พอ...พอครับ...ฟังแล้วเหมือนผมเป็นโรคจิต”

ดาเรศเบ้ปาก “งั้นก็แล้วกันไป...ฉันต้องรีบกลับแล้ว”

หล่อนรีบเดินผละไป..พึมพำ...อย่าได้เจอกันอีกเลย...

กวินยิ้มแห้ง ๆ ขำที่เห็นหล่อนเป็นฝ่ายผิดแต่ยังอวดดีอวดเก่ง

คนแบบนี้ก็มีด้วย...

 

ดาเรศกลับมาบ้านแล้ว...

สภาพที่เห็นจนชินตาคือพี่สาวกำลังตัดเย็บเสื้อผ้า...บ้านนี้อยู่กันสามคน...แม่...กับพี่สาว และหล่อน

แม่ของดาเรศชื่อ จันทร และพี่สาวชื่อ ปรางวรรณ

ปรางวรรณเรียนจบมัธยมต้นแล้ว ต่อสายอาชีพ และเลือกเป็นช่างเย็บเสื้อ ลูกค้าเป็นชาวบ้านแถวนี้ ที่เคยมาตัดและบอกกันต่อ ๆ ไป ฝีมือปรางวรรณใช้ได้ ค่อนข้างประณีต และราคาไม่แพง จึงพอมีลูกค้าแวะเวียนมาใช้บริการ ได้แม่จันทรช่วยเย็บเป็นลูกมือ

ปรางวรรณท้องแก่เจ็ดเดือนแล้ว...ท้องไม่มีพ่อ...ชาวบ้านต่างสงสัย...ถามปรางวรรณตรงๆ เพราะความอยากรู้อยากเห็นว่า...พ่อของเด็กเป็นใคร...

คำตอบจากหล่อนคือ...พ่อตายไปแล้ว!

ปรางวรรณไม่อายที่จะอุ้มท้องแก่โดยไม่ได้แต่งงาน...เพราะล่วงเลยมาจนป่านนี้...เป็นความผิดพลาดของหล่อนที่ต้องยอมรับ...

พ่อของเด็ก...เสรี...รักกัน...และมีอะไรกันก่อนแต่งงาน...หล่อนเชื่อใจเสรี...เขาจะแต่งงานกับหล่อน เขาจะจดทะเบียนสมรส...วางแผนชีวิตและอนาคตกัน แต่แล้ว...เมื่อหล่อนท้อง...และเร่งรัดให้แต่งงาน...เสรีก็เปลี่ยนไป มีผู้หญิงคนอื่น...

เสรีจัดว่าเป็นคนหน้าตาดี...และคบกับหญิงไฮโซมีชื่อเสียง ชื่อ สุทัศนีย์...

ตั้งแต่แรกคบกับปรางวรรณ...ดาเรศก็ดูออกว่าเสรีไม่จริงใจกับพี่สาว ฝ่ายชายเอาเปรียบฝ่ายหญิงเสมอ...เมื่อไปเที่ยวกัน เสรีจะให้ฝ่ายหญิงเป็นฝ่ายจ่ายเงิน

ความรักทำให้ตาบอด...เสรีอ้างจะเก็บเงินแต่งงาน

จนแล้วจนรอด...ฝ่ายชายขอเลิก เพื่อไปคบกับสาวที่รวยกว่า...แต่ด้านหน้าตา ปรางวรรณมั่นใจว่า หล่อนสวยกว่า

หล่อนสวยกว่าสุทัศนีย์ หล่อนรู้จักสุทัศนีย์จากหน้าหนังสือพิมพ์...รายนั้นร่ำรวย...เป็นทายาทเจ้าของบริษัทขายนาฬิกาที่มีชื่อเสียง

เสรีพูดตรง ๆ ขอเลิกกับปรางวรรณ....ตอนแรกปรางวรรณก็ร้องไห้จะเป็นจะตาย...ได้นางจันทรกับดาเรศช่วยกันปลอบ

ดาเรศกล่าวว่า...ผู้หญิงครอบครัวนี้ต้องเข้มแข็ง...มีเหตุเลิกกับผู้ชาย...เพราะ...เงิน

เงินตรา...เป็นสาเหตุ...เริ่มตั้งแต่มารดา...เจ็บปวดเพราะบิดา...พ่อชาญ...ทิ้งครอบครัวไปอยู่กับเมียใหม่...แม่ม่ายที่ร่ำรวย...เสรีก็ทิ้งพี่ปรางวรรณไปคบกับสุทัศนีย์ ไฮโซสาวนักธุรกิจขายนาฬิกา หล่อนเอง...ก็ผิดหวังจากดำรง เจ้าของบริษัทที่หมุนเงินบริษัทไปใช้จนกิจการต้องล้ม...และหนีหายหน้าไป

ล้วน...เพราะเงิน

เงิน!

เงินเป็นสาเหตุสำคัญ

ดาเรศถึงกับประกาศว่า...หล่อนจะต้องรวย!

หล่อนจะแต่งงานกับคนรวย หล่อนต้องการเงิน...กลิ่นของเงินคงจะหอมหวานมาก...มนุษย์จึงปรารถนาจะได้มา...ยอมละทิ้งความรัก...

จากวันนั้น...ถึงวันนี้...ดาเรศเชื่อว่า...แม่...พี่สาว...ต่างเข้มแข็งแล้ว

“กลับมาแล้วค่ะ...แม่...พี่ปราง...” ดาเรศเสียงใส หล่อนเป็นคนเดียวในบ้านที่สดใส...ร่าเริง...และทะเยอทะยาน ถ้าหล่อนอยู่บ้าน...จะได้ยินแต่เสียงหล่อน หากวันใดดาเรศไม่อยู่บ้าน...บ้านจะเงียบ...

หญิงสาวเดินไปรินน้ำดื่ม

ปรางวรรณถาม “ได้งานหรือยัง?”

ดาเรศเบ้ปาก “ยังค่ะ...”

“สองเดือนแล้วสิ...?”

นางจันทรปรามบุตรสาวคนโต “อย่าพูดให้น้องสะเทือนใจ”

ปรางวรรณพูดยิ้ม ๆ กับมารดา “แม่คะ...อย่างกับไม่รู้จักยัยเรศ...ยัยเรศเป็นคนปรับตัวเก่ง และยอมรับความจริงค่ะ”

ดาเรศเบ้ปากอีกครั้ง

“แหม! เรศก็มีหัวใจนะคะ... แต่เรศก็เข้มแข็งค่ะ... พวกเราผ่านอะไรกันมา...สักวันต้องเป็นวันของเราบ้าง...วันนี้ตกงาน...พรุ่งนี้ต้องมีงานทำ...ต้องมีแน่ค่ะ...”

นางจันทรกล่าวกับบุตรสาวคนเล็กเสียงเบา ๆ “ไม่ต้องเครียดมากหรอก...ค่อย ๆ หาไป...พี่ปรางยังรับงานตัดเสื้อผ้า...เราไม่อดตายหรอก ”

ดาเรศหัวเราะเบาๆ

“แม่คะ...อดตายคงไม่อดตายค่ะ...แต่อีกสองเดือนเราจะมีสมาชิกใหม่แล้วนะคะ พอมีเจ้าตัวน้อยออกมา...ต้องใช้เงิน...เรศอยากมีส่วนช่วยเลี้ยงหลาน”

“แม่พอมีเงินเก็บบ้าง”

“เลี้ยงเด็กมีค่าใช้จ่ายสูง เรศพยายามจะไม่เกี่ยงงาน เป็นงานอะไร ก็รับทำทั้งนั้นค่ะ...”

ขณะกำลังคุยกัน เสียงโทรศัพท์ที่บ้านดังขึ้น

ดาเรศวางแก้วน้ำ เพราะถือแก้วน้ำในมือ เดินไปรับโทรศัพท์

สักพักหลังจากคุยโทรศัพท์เรียบร้อยและเดินกลับมา หล่อนกระโดดตัวลอยบอกกับมารดาและพี่สาวอย่างดีใจ

“เรศได้งานทำแล้วค่ะ...เขารับเรศแล้ว...”

จันทรถามบุตรสาว “งานบริษัทที่ไหน?”

“เป็นพริตตี้บริษัทขายรถค่ะ”

“พริตตี้หมายถึงอะไร?”

ปรางวรรณตอบแทนน้องสาว “อ๋อ...ผู้หญิงที่แต่งตัวสวย ๆ โชว์ตัวพร้อมกับโชว์รถ...ตามงานขายรถที่เราเคยดูในโทรทัศน์ไงคะ...”

“แต่งตัวโป๊มั้ย?” มารดาสงสัย

ดาเรศตอบขึ้น

“แม่คะ...บริษัทเขารับเฉพาะปริญญาตรี...ต้องมีความรู้เรื่องรถ...ต้องไปอบรมก่อน...และรับเพียงเจ็ดคนเท่านั้น...คนสมัครก็ตั้งเป็นพันนะคะ...กว่าจะคัดเหลือเพียงเจ็ดคน...ไม่ใช่ความสวยอย่างเดียว...ต้องมีความสามารถด้วยค่ะ”

“แล้วเงินเดือน?”

“เขาให้เยอะนะคะ...แต่เป็นงานระยะสั้น...ไม่กี่เดือน...นอกจากว่าเขาอาจพอใจและบรรจุให้เป็นพนักงานประจำภายหลัง...ทุกอย่างขึ้นอยู่กับบริษัทค่ะ”

ดาเรศพูดอย่างตื่นเต้น...จากที่ว่างงานมาสองเดือน หล่อนรู้สึกแย่ พอมีงานเข้ามาใครจะไม่ดีใจเล่า แล้วหล่อนก็พูดกับพี่สาว

“ต้องไปบอกยายมล...”

ยายมล...ก็คือหญิงชราวัยเจ็ดสิบ หญิงชราที่บ้านพักคนชรา

หญิงชราที่ดาเรศเรียก...ยาย...โดยไม่มีความสัมพันธ์ทางสายเลือด...แต่เป็นยายที่หล่อนรัก

รัก...และผูกพัน

หญิงสาวรู้จักกับยายมลเมื่อหลายปีก่อน เมื่อครั้งยังเป็นนักศึกษาปีหนึ่งและไปทำกิจกรรมกับเพื่อน ๆ พี่ ๆ โดยไปทำบุญที่บ้านพักคนชราหลายแห่ง

นักศึกษาทำกิจกรรมพิเศษ...พบปะคนชรา...เลี้ยงอาหาร พูดคุยและมีการแสดง กิจกรรมประสบความสำเร็จ… นักศึกษาได้บุญ...ได้รอยยิ้มและน้ำตา

และดาเรศก็ถูกชะตากับหญิงชราคนหนึ่ง

ยายมล...ที่ใคร ๆ ก็เข้าไม่ถึง...แกจะเงียบ...เฉย...ชอบอ่านหนังสือโดยเฉพาะหนังสือธรรมะ และเก็บตัว...

ดาเรศทำจนแกยิ้ม...และเปิดตัวมากขึ้น หล่อนเห็นว่ายายมลมีลักษณะท่าทางเหมือนยายแท้ ๆ ของหล่อน

ตอนเป็นเด็ก...แม่ต้องทำงาน...ยายจะเป็นคนเลี้ยงหลาน ดาเรศสนิทกับยาย...รักยาย...จนยายจากไป...และหล่อนมาพบยายมล

หล่อนรู้สึกเหมือนพบกับยายที่จากไปอีกครั้ง...ตัวแทนยาย

ยายมลก็รักและถูกชะตากับดาเรศ

จากวันนั้น...ดาเรศก็มักจะหาเวลาไปเยี่ยมยายมลเสมอ เกือบทุกอาทิตย์...ทุกอาทิตย์เป็นเวลาหลายปี...จนจบมหาวิทยาลัยสี่ปีและทำงานอีกหนึ่งปี...รวมแล้วหล่อนรู้จักยายมลเกือบห้าปีแล้ว

หล่อนต้องไปพบยายมล...ถ้าไม่ไปจะเหมือนกับขาดอะไรไปอย่าง ความสัมพันธ์ผูกพันระหว่างหล่อนกับยายมลนั้น...มารดากับพี่สาวรู้เห็นมาตลอด

ปรางวรรณเอ่ยขึ้น “ก็ควรบอกให้แกรู้...ตกงานมาสองเดือนแกเป็นห่วงเธอมากนี่...”

“ค่ะ...แกเป็นห่วงจนเจ้าหน้าที่ที่นั่นบอกว่า แกนอนไม่หลับ ทั้งสุขภาพแกในระยะหลังไม่ค่อยแข็งแรงด้วย ยังจะมากังวลเรื่องเรศอีก...เรศไม่อยากเห็นแกไม่สบายใจ”

 

3

 

                บ้านพักคนชราที่นี่ดาเรศมาบ่อยมากเกือบทุกอาทิตย์...จนคุ้นเคยกับเจ้าหน้าที่ทุกคน...หล่อนมักมีขนมนมเนยมาฝากทั้งเจ้าหน้าที่กับคนชรา...

                แต่คนหนึ่งที่พิเศษ...ยายมล...

                ยายมลเป็นผู้หญิงรูปร่างเล็ก ผอมบาง มาอยู่ที่นี่เกือบสิบปี ตั้งแต่อายุหกสิบเศษ...แกเป็นคนติดต่อและเดินเข้ามาด้วยตัวเอง...ซึ่งแกนำเงินสดมาก้อนหนึ่งเป็นล้าน และมอบแก่สถานสงเคราะห์คนชราแห่งนี้ไว้เป็นค่าใช้จ่าย...ลักษณะแกสะอาดสะอ้านเยือกเย็น ตั้งแต่มาอยู่ไม่เคยมีญาติมาเยี่ยม...และแกก็อยู่อย่างสงบ ไม่เป็นภาระอะไร

                จนห้าปีก่อน...ที่ดาเรศก้าวเข้ามา...และถูกชะตากับแก...ดาเรศมาพบแกอย่างสม่ำเสมอ วันที่ดาเรศมาพบแก...ถ้าไม่ใช่วันเสาร์ ก็เป็นวันอาทิตย์ ซึ่งเป็นวันหยุดงานของหล่อน จนตกงานสองเดือน วันที่มาพบแกจึงเปลี่ยนไปไม่แน่นอน แกอยู่ของแกด้วยการอ่านหนังสือ...และนั่งสมาธิเงียบ ๆ คนเดียวในห้อง...ในห้องส่วนตัวที่มีขนาดเล็ก ๆ มีโต๊ะตู้เตียงเท่าที่จำเป็น และปราศจากของมีค่าใด ๆ...

                ดาเรศเคาะประตู...ก่อนจะเปิด

                “ยายมล...อยู่มั้ยเอ่ย?”

                แกไม่อยู่ในห้อง...ในห้องน้ำก็ไม่มี...

                เจ้าหน้าที่คนหนึ่งบอกกับดาเรศ

                “เมื่อกี้เห็นแกอยู่ที่สนาม...อยู่กับต้นไม้ของแก...”

                แกชอบออกไปสูดอากาศบริสุทธิ์ที่สวนด้านข้างของตึกเพราะจะร่มรื่นด้วยต้นไม้ใหญ่ และมีต้นหนึ่งที่ยายมลปลูกด้วยตนเองตั้งแต่แรกมาอยู่...ปลูกต้นเล็ก ๆ จนกลายเป็นต้นใหญ่...

                ต้นแค...แคขาว...ดอกไม้เป็นสีขาว...นาน ๆ จะเห็นสักดอก...แต่พอเห็น...ดอกก็มักตกอยู่ที่พื้นเสียแล้ว แกจะเก็บดอกสีขาวมาชื่นชม...

                “ยาย...ยายมล...”เสียงของดาเรศใส...และกังวาน

                หญิงชรายิ้มกว้าง...มาแล้ว...หลานนอกไส้...เป็นใครมาจากไหน...แกไม่สนใจ แต่ ณ เวลานี้...แกมีหลานนอกไส้คนนี้คนเดียวที่เอาใจใส่แกเป็นพิเศษ

                ดอกสีขาวยังอยู่ในมือแก...

                “เอาไป...ให้...”

                ดาเรศอมยิ้ม และแกล้งแซวหญิงชรา “โฮ้โฮ! อะไรกันนี่...ให้แค่ดอกไม้สีขาวดอกเดียว...น่าจะเปลี่ยนเป็นเงินสด...”

                แกโบกมือ

“เงิน...ไม่มีให้หรอก...” เสียงออกจะงอน ๆ

“อุ๊ย! คนแก่งอน”

“ทำเป็นพูดเล่น”

“กับยายคนเดียวเท่านั้นล่ะ...ยายมลของเรศ...วันนี้เรศซื้อของมาฝากยายด้วยนะ...มีหนังสือสองเล่ม...กับยาขับไล่ลม ยาแผนโบราณ...”

เพราะหล่อนทราบจากเจ้าหน้าที่ว่า แกมีอาการลมแน่นท้องแน่นหน้าอกเสมอ...

“อืมม์...หมู่นี้โดนโรคลมเล่นงาน”

“แล้วหมอมาดูอาการยายหรือเปล่า?”

“ไม่เป็นไร...ยังทนได้”

“เรศพายายไปหาหมอมั้ยล่ะ?”

“ไม่ต้อง...”

“คนแก่นี่...ดื้อนะ”ดาเรศแกล้งตำหนิ

“ดื้อแล้วมาหาทำไม?”

หล่อนอมยิ้มก่อนตอบ “ใครใช้ให้ยายมลเหมือนยายของเรศล่ะ...เรศก็เลยโมเมยายมลเป็นของเรศแล้ว...ใครก็ห้ามแย่ง” พูดแล้วก็กอดแกแน่น

แกแอบพอใจอยู่เงียบ ๆ แต่ปากพุดว่า

“ไม่ต้องมาเอาใจ...ไม่มีอะไรให้”

ดาเรศเบ้ปาก

“ใครอยากได้ล่ะ...เรศอยากมีคุณยาย...อยากมีคนมาลูบผม...มากอด...แค่มาเป็นยายของเรศ”

“คนแก่น่ารำคาญจะตาย”

“แต่คนแก่ก็น่ารักค่ะ”

“แล้วเป็นไง...หางานได้หรือยัง?”

ดาเรศหัวเราะ...แกเห็นหน้าหล่อน...ก็เดาได้

“ได้งานแล้วสิ...”

หญิงสาวพูดอย่างตื่นเต้น

“ตอนแรกว่าจะหลอกยาย...แต่ดีใจจนปิดไม่มิดค่ะ”

“เรานี่แสดงออกนอกหน้า...ดีใจเสียใจก็แสดงออก”

“เรศได้งานแล้วค่ะ...”

ยายมลพยักหน้า

“ดีแล้ว ยังสาวยังแข็งแรง ต้องทำมาหากิน...ทำตัวให้เป็นประโยชน์ต่อสังคม รวยจนไม่สำคัญ...สำคัญที่เป็นคนดี มีน้ำใจ...ขยันขันแข็ง...เกิดมาจึงไม่เสียชาติเกิด”

สังเกตเวลาพูดแกจะหอบ...ดาเรศจึงเป็นห่วง

“ยายคะ...กลับขึ้นไปที่ห้องนะคะ...”

“จ้ะ...”

หญิงสาวประคองหญิงชราขึ้นไปที่ห้อง...ยายแกตัวเล็กมาก ผอมมาก...มือของดาเรศจับประคองแน่น

เสียงแกพูดกับตัวเอง เมื่อมาถึงหน้าห้อง

“สังหรณ์ใจจะอยู่ไม่นาน...”

ดาเรศได้ยิน...

“ยายมลอย่าพุดแบบนี้สิ...เรศไม่ชอบฟัง”

“คนแก่...ถึงเวลาก็ไป”

“ยาย...!”

“มาทำเสียงแข็งกับยาย”

“เรศไม่ยอมให้ยายไป...ต้องอยู่ที่นี่...เรศจะมาเยี่ยมยายทุกอาทิตย์”

“คนเราหนีไม่พ้นความตายหรอก และยายก็ไม่กลัวตายด้วย ไม่กลัวจริง ๆ ...เตรียมพร้อมจะตายอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน...”

“อย่าพูดสิคะ...”

“จริง ๆ นะ...ในโลกนี้ไม่มีอะไรให้อาลัยอาวรณ์...”

“ยาย...ยายไม่มีญาติพี่น้องเลยหรือ?”

หล่อนเคยถามมาหลายครั้ง...ญาติพี่น้อง...เผื่อแกอยากพบญาติพี่น้อง...แกมี...ต้องมี...แต่แกปากแข็งใจแข็งเสมอ

“ไม่มี...”

“เป็นไปได้อย่างไร...ยาย...”

“ตอนนี้ยายถือว่ายายไม่มีใครแล้ว...มาแต่ตัวไปแต่ตัว...เอาอะไรไปไม่ได้...จะยึดติดทำไม...ยึดติดกับทรัพย์สมบัติ กับเงินตรา...ตายไปจะตายตาไม่หลับ”

พูดถึง...เงินตรา...ดาเรศรู้สึกทุกครั้ง...กับคนรอบตัว...

พ่อ...หนีไปอยู่กับแม่ม่ายร่ำรวย...

ว่าที่พี่เขย...คบกับไฮโซร่ำรวยโดยทิ้งเมียท้อง

ดำรง...อดีตคนรักและเจ้านายหล่อน ก็หอบเงินหนีทิ้งให้บริษัทล้มไม่ได้นึกถึงความรักสักนิด…

เงิน...มาก่อนความรัก...

หล่อนเชื่อแล้ว...เชื่อจริง ๆ ...ว่าเงินตราสำคัญขนาดไหน

“คนเราเลือกจะร่ำรวย...อยากสบาย...อย่างคนรอบตัวของเรศก็ทิ้งคนรักไปเลือกเงิน...”

“แล้วก็จะว่างเปล่า...”

ดาเรศเถียง “ ไม่ว่างหรอกค่ะ...กอดเงินอบอุ่นกว่ากอดความรัก”

ยายมลหัวเราะแปร่ง ๆ

“ไม่จริง...เงินไม่ใช่สิ่งสำคัญ...”

เห็นแกหอบ...ดาเรศเป็นห่วง

“ยายอย่าเพิ่งพูดเลยค่ะ”

“ยิ่งนาน...สังขารก็ยิ่งแย่...คงไม่นานแล้ว...” แกพึมพำ

ดาเรศต้องเปลี่ยนเรื่องเพราะไม่อยากได้ยิน

 

ที่บริษัทจำหน่ายรถยนต์ยี่ห้อหนึ่ง วันนี้สื่อมวลชนมาทำข่าวการออกรถรุ่นใหม่ บริษัทเปิดตัวรถพร้อมกับพริตตี้สาวสวยเจ็ดคน ซึ่งคัดมาจากผู้สมัครนับพัน  ความน่าสนใจของพริตตี้ ทำให้ผู้สื่อข่าวต่างถ่ายรูปรถ พร้อมสาวสวยทั้งเจ็ดคน เพื่อทำข่าวทั้งหนังสือพิมพ์และโทรทัศน์

                เจ้าของบริษัทคือ คุณฉลอง...

                ท่านมีบุตรสามคน...

                คนโตชื่อ...วิชา วิชาคบอยู่กับแฟนสาวชื่อ สุพรทิพย์

                คนกลางคือ...จามร หนุ่มหล่อรูปงาม เป็นที่หมายปองของสาว ๆ

                และคนเล็กเป็นหญิงชื่อมนต์ลดา

                งานนี้แค่เปิดตัวรถรุ่นใหม่ก็มียอดจองจากบรรดาแขกผู้มีเกียรติ...

                สุพรทิพย์อยู่เคียงข้างวิชาไม่ยอมห่าง...เพราะวิชาได้ชื่อว่าเจ้าชู้...และหล่อนก็ขี้หึงเป็นพิเศษ

                สุพรทิพย์เป็นลูกสาวคุณนุชนารถ...

                คุณนุชนารถเป็นเจ้าของบริษัทจำหน่ายนาฬิกา และมีลูกสาวสองคน...

                สุพรทิพย์เป็นคนโต...สุทัศนีย์เป็นคนรอง

                สุทัศนีย์...เป็นคนเดียวกับที่เสรีคบหาและหวังจะตกถังข้าวสาร!

                เสรีก็มางานนี้ด้วยในฐานะแฟนหนุ่มของทัศนีย์...คบกับสาวไฮโซดีไปอย่าง เสรีได้เปิดตัว...ได้พบกับสังคมใหม่...เป็นสังคมที่เสรีปรารถนามานาน...

                สถานที่จัดงานดูแคบไป มีทั้งแขกและสื่อมวลชนมาทพำข่าวธุรกิจ

                ยอดจองรถเป็นที่น่าพอใจ...พริตตี้ได้รับความสนใจมาก

                กวินอยู่ในงานด้วย...เขาเป็นเซลส์แมนขายรถ ทำงานที่บริษัทมาสองปี...เขาทำยอดขายได้สูงสุดในบริษัททั้งสองปี

                วชิระ...เพื่อนกวิน...

                วชิระก็ทำงานเป็นเซลส์แมนขายรถ...

                กวินกับวชิระเป็นเพื่อนนักเรียน เรียนจบก็เช่าบ้านอยู่ด้วยกัน โดยออกค่าเช่าคนละครึ่ง เป้าหมายของสองหนุ่มคือทำงานเก็บเงินเพื่อซื้อบ้าน...

                กวินและวชิระไม่ได้มาจากครอบครัวที่ร่ำรวย...ต่างเป็นกำพร้าอยู่กับญาติ...ต้องทำงานดิ้นรนหางานทำด้วย...เรียนไปด้วย...อาศัยว่าขยันอดทน...จึงเรียนจบด้วยเกรดดี และได้ทำงานที่ตนถนัดคือเป็นเซลส์ ทำงานไม่นานก็สามารถซื้อรถ...ทั้งสองนับว่าเป็นหนุ่มอนาคตไกล

รายได้ในขณะนี้...กวินอยากหาบ้านสักหลัง...มีเงินสำหรับดาวน์บ้าน...และมีเงินผ่อนทุกเดือน แต่เขายังหาบ้านที่ถูกใจจะซื้อยังไม่ได้

อยู่บ้านเช่ากับวชิระเพื่อนรู้ใจก็สบายดี...ทุกอย่างหารสอง...อย่างยุติธรรม...ทั้งสองนิสัยคล้ายกัน...เพื่อนรักกัน...ไม่มีคิดเล็กคิดน้อย...และต่างสนับสนุนความก้าวหน้าของกันและกัน

วชิระมีเวลาว่างจากการต้อนรับลูกค้าเดินมาหากวิน...

“เป็นไง?” วชิระถาม

กวินยักไหล่

“สื่อมวลชนเยอะมาก...”

“รู้มั้ย...พริตตี้ปีนี้สวยเด็ด...”

กวินโคลงศีรษะ

“ยังไม่มีเวลาไปมองหน้าเลย”

“แต่ละคนสวยยังกับนางสาวไทย สวยจริง ๆ ...สวยจนพูดไม่ถูก”

เพื่อนหัวเราะ

“ไม่สวยได้เรอะ...เห็นว่าคัดจากคนเป็นพัน...”

“ปริญญาตรีขั้นต่ำ...บางคนปริญญาโทก็มี...พูดภาษาอังกฤษคล่อง...คัดทั้งสวย...คัดทั้งเก่ง...พูดภาษาอังกฤษกันเป็นทุกคน...”

กวินเดินมองไปทีละคน...จนถึงคนสุดท้าย...ซึ่งได้ยินมาว่าสวยที่สุด...โดนถ่ายรูปมากที่สุด...

“เฮ้ย!”

เห็นหน้าแล้วเขาอุทาน

“ยัยคนนี้นี่เอง!”

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

4

 

                กวินจำได้แม่นยำ...

วชิระถามเพื่อนรัก “รู้จักสาวสวยคนนี้ด้วยหรือ?”

กวินหัวเราะเบา ๆ “อืมม์...สวยและแสบอย่าบอกใคร...”

“แกรู้จักหรือวะ?”

“ยิ่งกว่ารู้จัก...”

“โอ้โฮ...รู้จักคนสวยก็ไม่บอก ไม่แนะนำกันบ้างเลย กันก็อยากรู้จัก...”

กวินโคลงศีรษะ

“อย่าเลย...เพื่อน...แกสนใจคุณลดาอยู่นี่หว่า...อย่าหลายใจสิ...”

วชิระหัวเราะบ้าง

ลดา...ก็คือมนต์ลดา...ลูกสาวคนเดียวของคุณฉลอง...ซึ่งทั้งเปรี้ยว ทั้งเอาแต่ใจ...ที่สำคัญเขาเป็นแค่เซลส์...แต่หล่อนเป็นลูกสาวเจ้าของบริษัท หล่อนไม่เคยสนใจเขาเลย...ทั้งที่เขาพยายามจะเข้าไปตีสนิท...บางครั้งเจอสายตาดูถูกอยู่บ้าง...เหมือนจะบอกว่า...คนละระดับ!

“ก็สนอยู่ฝ่ายเดียวล่ะ...”

“เฮ้ย...รักแท้ต้องอดทนสิ...”

“อย่าพึ่งพูดเรื่องกัน...เรื่องสาวสวยคนนี้ก่อน...รู้จักได้อย่างไร?”

ยังไม่ทันตอบ...สาวสวยที่วชิระพูดถึงหันมาเห็นกวิน

เจ้าหล่อนจำเขาได้...กำลังยิ้มหวานกับลูกค้าและสื่อมวลชน...พอเห็นกวิน หล่อนก็หุบยิ้มทันที

ดาเรศจำเขาได้! หล่อนทำหน้าไม่ชอบใจ...และเผลอค้อนโดยไม่รู้ตัว

กวินสะดุ้ง...กล่าวกับเพื่อนว่า “เห็นมั้ย...เธอค้อนกัน...”

วชิระอมยิ้ม “เวลาค้อนสวยชะมัดเลย”

“แสบมาก...”

“แล้วรู้จักกันได้อย่างไร?”

“ก็มุงดูซื้อของในห้างอะไรสักอย่างล่ะ พอดีคนมันเยอะ กันถูกเบียด! จึงชนเธอด้านหลัง...แหม...เธอเล่นศอกกระแทกกลับและยังหาว่ากันโรคจิต...แอบลวนลามเธอ...”

วชิระพยักหน้า “น่าเห็นใจผู้หญิง...กันเป็นเธอก็ต้องเข้าใจอย่างงั้น”

“หน้าอย่างกันนะ โรคจิต”

“หล่อ ๆ อย่างแก เป็นโรคจิตถมไป”

“ก็ได้...กันเบียดชนเธอจนถูกเข้าใจผิด...ก็แล้วไป หลังจากนั้นกระเป๋าเงินเธอถูกล้วง...แล้วเป็นไงล่ะ...กันซวยอีกตามเคย...กันถูกข้อหาล้วงกระเป๋าเธอ...เรียกยามจับกันอีกแน่ะ”

เพื่อนหัวเราะ “ก็แกไปเบียดเธอนี่หว่า เบียดเพื่อลวนลามหรือเบียดเพื่อล้วงกระเป๋า ก็ล้วนมีเหตุผล”

“กันเป็นนักล้วงกระเป๋าไปแล้ว”

“เรื่องแบบนี้ถูกเข้าใจผิดได้”

“ไม่ว่าโรคจิตหรือล้วงกระเป๋า กันว่าเกินไป”

“แล้วพ้นข้อกล่าวหาได้อย่างไรล่ะ?”

“เพราะโชคยังช่วยทัน ยามจับนักล้วงกระเป๋าได้...เพราะล้วงกระเป๋าคนอื่นอีก จึงพบกระเป๋าเธอ...”

วชิระพยักหน้า “อย่างงี้เรียกว่าหัวเราะทีหลังดังกว่า”

กวินทำปากแสยะ “ขอโทษสักคำก็ไม่มี ยังทำหน้าบึ้งใส่กันอีก...หาว่าไม่ล้วงกระเป๋าก็จริง...แต่เป็นโรคจิต”

เพื่อนหัวเราะ “แล้วงานนี้เจอกันอีก...แกจะถูกข้อหาอะไรวะ?”

“นั่นสิ...มาทำงานที่เดียวกันแล้ว...”

“เธออาจเข้าใจแกก็ได้”

“อาจจะยิ่งเข้าใจผิดใหญ่”

พูดถึงตอนนี้มีลูกค้าสนใจรถ...ทั้งกวินและวชิระจึงต้องต้อนรับลูกค้า

กวินเฉียดไปใกล้ดาเรศ...พอลูกค้าผละไป...หันไปอีกครั้ง เห็นหล่อนจ้องเขม็ง จนกวินอดจะเดินไปหาหล่อนไม่ได้...สามก้าวเอง ใกล้กันแค่นี้

“คุณ...ไม่ต้องมองผมเขม็งอย่างงั้นหรอก...”

ดาเรศเบ้ปาก “ต้องมองสิ...”

“ไง...ผมหล่อมากหรือครับ จึงมอง?”

หล่อนยักไหล่ “หล่อไม่เสร็จเลยนะคะ...ที่มองเพราะจะระวังสาว ๆ ...กลัวถูกคุณลวนลาม”

กวินคอย่น...”โอ้โฮ...นี่...คุณพริตตี้...เล่นแรงเชียว”

“ฉันไม่ได้ชื่อพริตตี้”

“เรียก ๆ ไปก่อน”

“ไม่ได้!”

“งั้นคุณชื่ออะไร?”

“ดาเรศ...”

“ผมกวินนะ...เป็นเซลส์แมนขายรถ”

“ไม่ได้ถาม”

“ผมจำต้องบอก...เพราะขณะนี้เท่ากับเรากินเงินเดือนบริษัทเดียวกัน...เป็นพนักงานเหมือนกัน...ที่สำคัญเรื่องของเรากรุณาเก็บเป็นความลับ”

หล่อนหัวเราะขำ “คุณกลัวความจริงเปิดเผย...ว่าคุณเป็นคนแบบไหน และถูกบริษัทไล่ออก”

กวินสูดลมหายใจลึก ๆ จริง ๆ เขาเป็นคนคล่องแคล่ว ไม่กลัวอะไรเลย...มนุษย์สัมพันธ์ดี...เจ้านายรัก ลูกค้าที่ติดต่อเขาจะชอบ...ประวัติเขาดีเด่นเสมอ...

มาเสียก็เพราะ..เจ้าหล่อน...มุมมองของเจ้าหล่อน ความเข้าใจผิดของเจ้าหล่อน เสียหายแน่...ถ้าหล่อนป่าวประกาศว่าเขาเป็นโรคจิต

“จริงไม่ว่า...แต่มันไม่จริง”

ดาเรศแสยะปาก “กลัว?”

“ผมไม่กลัว...แต่ผมไม่ชอบ”

“ก็อย่าทำ”

“คุณเข้าใจผิด...”

“หรือคะ?” จากท่าทางและน้ำเสียง หล่อนไม่เชื่อคำพูดของเขาเลย...พูดอะไรแววตาก็จะคลางแคลงสงสัย...ระแวงเสมอ

“เข้าใจผมผิดอย่างแรง”

“ไม่จริงก็ไม่ต้องกลัว...”

“ผมไม่กลัว...”

“ฉันเจอกับตัวเอง...”

“แต่คุณ...” ยังพูดไม่จบประโยค...จามรเดินมา...ลูกชายคนกลางคุณฉลอง...เจ้านายหนุ่มที่รูปหล่อและเป็นที่รักของลูกน้อง

จามร...หนุ่มเนื้อหอม ที่มีคุณสมบัติครบถ้วน เป็นชายในฝันของสาว ๆ

เขาสนใจดาเรศ

สาวสวยเจ็ดคนที่สวยเด่นก็ยังมีดาเรศที่โดดเด่นกว่าคนอื่น...วันนี้หล่อนแต่งหน้าเข้ม...ชุดเป็นเสื้อกระโปรงทำจากหนัง...รัดรูป...กระโปรงสั้น...เสื้อค่อนข้างโป๊...แต่เป็นชุดที่สาว ๆ ต้องสวม...พริตตี้สาวสวยสามารถเรียกร้องความสนใจไม่แพ้รถที่ออกโชว์...

จามรเคยคุยกับดาเรศแล้ว...ในวันสัมภาษณ์...และเขาเป็นคนคัดดาเรศด้วยคะแนนอันดับหนึ่ง...เขาสนใจตั้งแต่แรกพบ...วันสัมภาษณ์ก็คุยกันถูกคอ

เขาเดินมาทางกวินและดาเรศ “อ้าว! รู้จักกันหรือครับ?”

กวินตอบ “ครับ...”

แต่ดาเรศตอบ “ไม่ค่ะ...”

จามรทำหน้างง ๆ

กวินรีบอธิบาย “เราเพิ่งรู้จักกันไม่นาน...ผมเกรงเธอจะจำไม่ได้เลยมาเท้าความกันหน่อย...”

“แสดงว่ารู้จัก...?”

“เพราะเรามีเรื่องเข้าใจผิดกันครับ”

“อะไรครับ ?”

“เอ้อ...เรื่อง...ไม่สำคัญหรอกครับ...”

แล้วมองตาหล่อน...เป็นเชิงกำชับ... “อย่าบอก!”

อย่าพูดเด็ดขาด !

ดาเรศอึดอัด...อยากพูดแต่เจอกับสายตาของเขา...หล่อนลังเล...ก็ได้...ยกประโยชน์ให้จำเลย...แล้วบอกกับตัวเองไม่ถูกทำไมต้องยอมรับกับสายตาของเขา...สายตาเขาไม่ใช่ขอร้อง...แต่มีอะไรบางอย่างที่ทำให้หล่อนยอมหยุด

จามรคุยกับดาเรศ...โดยถามหล่อนด้วยน้ำเสียงอบอุ่นนุ่มนวล

“เป็นไงครับ...คุณดาเรศ...เหนื่อยมั้ยครับ?”

หล่อนยิ้มกว้าง...นอกจากยิ้มกว้าง ยังยิ้มหวานเสียอีก

“ไม่เหนื่อยค่ะ...”

“หนังสือพิมพ์จะนำภาพคุณกับรถไปลงฉบับพิเศษวันเสาร์...”

“มีเพื่อน ๆ ตั้งหลายคนค่ะ”

                “เขาเลือกคุณ...”

“ขอบคุณค่ะ”

“ผมก็ว่าคุณเหมาะนะ...ถ้าคุณเหนื่อย...ก็แวะไปห้องทำงานของผมได้...ไปพักและดื่มเครื่องดื่มเย็น ๆ”

“ขอบคุณค่ะ...”

“เดี๋ยวผมมาคุยใหม่...”

จามรยิ้มให้กวินและผละไป

กวินเลิกคิ้ว...หล่อนมี “เส้น” ซะด้วย...เส้นใหญ่ไม่ธรรมดา...ขนาดระดับคุณจามรมาคุยทักทาย...จามรทักทายกับดาเรศเพียงคนเดียว หล่อนรู้จักกับจามร...เพราะจามรมา...ทำให้พนักงานอื่นต้องเกรงใจหล่อน ดูหล่อนหน้าบานไม่น้อย

หล่อนมองจามรที่เดินจากไป..ด้วยรอยยิ้มที่มีความปลื้มใจและระรื่น...

กวินนึกค่อนในใจ...แหม...คุณจามรคุยด้วย...หน้าบานเชียว

หล่อนหันมาทางกวินอีกครั้ง...พอเห็นกวิน หน้าบานก็กลายเป็นบึ้ง

“คุณมองอะไร?”

“เพิ่งรู้ว่าสนิทกับเจ้านาย...”

“แล้วคุณเดือดร้อนอะไร?”

“เปล่า...เส้นใหญ่ ขอชม”

“ฉันยังไม่ฟ้องเรื่องคุณเลย...”

“อย่าพูดเหลวไหลเด็ดขาด!” เขารีบดักคอ “อย่าเข้าใจผมผิด และทำให้ผมเสื่อมเสีย” ชายหนุ่มโคลงศีรษะ น้ำเสียงจริงจัง...ย้ำแล้วย้ำอีก “เรื่องจริงไม่กลัว กลัวเรื่องเท็จ”

“ไม่อยากพูดด้วย!” หล่อนสะบัดหน้าเดินหนี

หญิงสาวผละไปแล้ว...วชิระจึงเดินเข้ามาแทนที่และพูดกับกวินว่า

“ท่าทางคุณจามรสนใจเธอ...กันสืบมาแล้วนะ เธอชื่อคุณดาเรศ...จบปริญญาตรีคณะบริหาร...”

“จะอย่างไร...เธอก็มีเส้นบ้าง”

“ไม่เคยเห็นคุณจามรสนใจใครเลยนะ”

“อาจจะเป็นนายของเราในอนาคต...”

วชิระหัวเราะ “แกก็เดือดร้อนสิวะ...เพราะเธอเข้าใจแกผิด”

กวินยักไหล่ “ไม่สนหรอก...บริสุทธิ์ใจซะอย่าง...กันทำงานไม่เลียแข้งเลียขาใคร”


รีวิว (0)


สินค้าที่ใกล้เคียง (50 รายการ)

www.batorastore.com © 2024