ผู้ชายตาเศร้ากับดาวล้านดวง (สินี เต็มสงใส)

ผู้ชายตาเศร้ากับดาวล้านดวง (สินี เต็มสงใส)

0 รีวิว  0 รีวิว    
รหัสสินค้า: ผู้ชายตาเศร้า
ของหมด (ต้องการสินค้า)
ราคา: 300.00 บาท 75.00 บาท
ประหยัด: 225.00 บาท ( 75.00% )

เนื้อหาบางส่วน

ผู้ชายตาเศร้ากับดาวล้านดวง

สินี  เต็มสงใส

ตอน ๑

 

                        ฉันมารู้เมื่อใกล้จะสิ้นลมหายใจสุดท้ายว่า    ฉันเป็นโรคที่คนหลายล้านคนในโลกน้อยนักที่จะเป็น   และไม่มีโอสถชนิดใดสามารถเยียวยาได้ตลอดชีวิต

                        นั่นคือ ‘โรคขาดรัก’

                   หรือใครจะเถียงว่า   มีเด็กกำพร้าอยู่ถมเถไป   อย่างน้อย ๆ ก็กำพร้าพ่อหรือกำพร้าแม่   แต่เขาก็อาจยังมีญาติพี่น้อง   เพื่อน   ตลอดจนเจ้าหน้าที่ของมูลนิธิดูแลในกรณีที่เป็นเด็กเร่ร่อน   ได้ความรัก   ความอบอุ่นมากบ้างน้อยบ้าง

                        ถ้าโชคดีบางคนถูกผู้มีฐานะขอไปเลี้ยง   บางคนเติบโตขึ้นมาจนถึงวันที่มีคนรักได้   แต่งงานมีครอบครัวไป   หายจากโรคนี้ไปโดยปริยาย

                        แต่ฉันไม่มีวันหาย   และหมดหวังที่จะหายได้ในชาตินี้!

                        พระภิกษุสงฆ์ที่ฉันนับถือกล่าวว่า   ทุกสิ่งทุกอย่างที่ฉันมีและเป็น   เกิดจาก ‘กรรมเก่า’ ที่ฉันสร้างไว้ในชาติก่อนมาสนองแก่ฉันในชาตินี้

                        ฉันนับถือพระพุทธศาสนา   ทำบุญทำทาน   รักษาศีลอย่างเคร่งครัด   แต่ฉันรับไม่ได้กับคำว่า ‘กรรมเก่า’

                        เพราะนั่นหมายความว่าเมื่อชาติที่แล้วฉันเป็นคนเลวสุด ๆ   เมื่อเกิดใหม่มาเป็นเด็กหญิงวิฬารี   วิสุทธินพ   จะต้องใช้หนี้แทนเขา   ทั้งที่ฉันลืมตาดูโลกด้วยความบริสุทธิ์   มีหัวใจดวงใหม่   มีตัวตนใหม่   ไม่รู้ไม่เห็นด้วยกับบาปเวรเหล่านั้น   แต่ต้องมารับกรรมที่ใครอื่นสร้างไว้

อย่างอยุติธรรมที่สุด

                        ฉันเกิดในครอบครัวที่มีฐานะปานกลาง   พ่อกับแม่เป็นข้าราชการครู   มีน้องสาวคนหนึ่ง   ดูภายนอกก็ราวกับว่าน่าจะมีความสุขพอสถานประมาณ   ใคร ๆ ที่ได้รู้จักก็มักจะชื่นชมครูพจน์และครูพรดี   รวมทั้งเด็กหญิงวิฬารี   และเด็กหญิงปีแสง   ผู้ได้รับการอบรมบ่มนิสัยให้เป็นเด็กดี   โดยเฉพาะฉันซึ่งมีสติปัญญาเฉลียวฉลาดเป็นพิเศษ

                        แต่นั่นแหละ   มันทำให้ชีวิตของฉันพินาศย่อยยับเหมือนตกนรกอเวจีแทบไม่ได้ผุดได้เกิด

                        เริ่มจากเมื่อวัยต้องเข้าโรงเรียน   ปีแสงได้เรียนในโรงเรียนรัฐบาลเหมือนเด็กในสถานภาพเดียวกัน   ส่วนฉันได้รับการพิพากษาจากพ่อกับแม่ว่า

                        “วิควรจะไปเรียนโรงเรียนที่แม่สอน   เพราะหัวดีกว่าน้อง   จบป. ๔ จะได้สอบ

                                                                                                           

ชิงทุนการศึกษา   ถ้าสอบได้ที่ ๑ ของประเทศก็จะได้ทุนเรียนจนถึงจบปริญญา”

                        ฉันยังไม่เข้าใจอะไรนัก   ได้แต่ย้อนถามว่า

                        “ทำไมต้องเรียนโรงเรียนที่แม่สอนล่ะคะ?”

                        “เพราะเป็นโรงเรียนเทศบาล   ที่มีเด็กยากจนเรียนกัน   ส่วนโรงเรียนที่ปีเรียนไม่มีทุนการศึกษา”

                        ฉันอ่านหนังสือได้ก่อนเข้าโรงเรียน   เพราะพ่ออ่านหนังสือพิมพ์สยามรัฐรายวันเป็นประจำ   ฉันก็ชี้ถามพ่อว่าคำนั้นคำนี้อ่านว่าอะไร   พ่อบอกทีเดียวฉันก็จำได้   นานเข้าฉันก็อ่านเป็นประโยคได้เช่น

                        ‘รัฐบาลเพิ่มงบประมาณกวาดล้างคอมมิวนิสต์ภาคใต้’

                        และฉันได้หนังสือเรื่อง พล  นิกร   กิมหงวน  จากเพื่อนบ้าน   เขาก็สอนฉันอ่านเพิ่มขึ้น   แต่ทั้งหมดเป็นการอ่านแบบนกแก้วนกขุนทอง   เพราะฉันอ่านได้   หากไม่เข้าใจความหมายของมัน   แต่ฉันก็ชอบการอ่าน   แม้แต่แม่ใช้ไปซื้อหัวหอมหัวกระเทียมซึ่งใช้กระดาษหนังสือพิมพ์ห่อ   ฉันก็เอาของที่ซื้อใส่กระเป๋ากางเกงขาสั้น   เดินอ่านกระดาษที่ห่อ

                        ฉันไปโรงเรียนกับแม่   ได้นั่งรถราง   รถรางชั้นหนึ่งจะมีเบาะรองนั่ง   ส่วนชั้นสองเป็นไม้ไม่มีเบาะ   มีกระดิ่งกรุ๋งกริ๋งไปตลอดทาง   ฉันกับแม่นั่งรถไม่มีเบาะเพื่อประหยัดค่าใช้จ่าย   ชั้นเรียนของฉันแรกเข้าเรียกว่าชั้นมาตรฐาน   นั่นแหละฉันจึงได้เรียนก.ไก่  ข.ไข่

                        แม่ไม่ได้สอนห้องที่ฉันเรียน   มีครูประจำชั้นสวยและใจดี   เมื่อครูให้การบ้านมาและฉันนำไปส่งในวันรุ่งขึ้น   ครูก็จะเขียนที่หัวกระดาษว่า ‘ดี’ หรือ ‘ดีมาก’ เสมอ   ในขณะที่เพื่อนร่วมห้องซึ่งครูเขียนว่า ‘พอใช้ได้’หาว่าครูเขียนให้ฉันเช่นนั้นเพราะฉันเป็นลูกครูด้วยกัน

                        ด้วยเหตุที่ว่าฉันได้รับการอบรมจากทางบ้านมาทั้งกิริยา   วาจา   ให้เรียบร้อย   มีสัมมาคารวะ   แต่ฉันกลับไปตกคลั่กอยู่กับเด็กในสลัม   ซึ่งด่าทอกันด้วยถ้อยคำหยาบคายอย่างฉันไม่เคยได้ยิน   และเล่าเรื่องเพศกันอย่างโจ๋งครึ่ม   เพราะพวกเขาอยู่บ้านโทรม ๆ ไม่มีห้องหับกันเป็นส่วนสัด   จึงเรียนรู้ภาคปฏิบัติด้วยสายตาตนเอง

                        เมื่อฉันนำถ้อยคำเหล่านั้นไปถามแม่   แม่ก็ตกใจ   หลังจากนั้นแม่ก็ให้ฉันไปกินข้าวกลางวันที่ห้องพักครูกับแม่   แทนที่จะนำกล่องข้าวไปนั่งกินกับเพื่อน   นี่เป็นบริบทแรกที่ทำให้ฉันรู้จักความแตกต่างระหว่างระดับของชนชั้น

                        กลับจากโรงเรียนแม่ก็เข้าครัวทำกับข้าว   ฉันและปีแสงต่างก็ทำการบ้านที่ครูให้มา   น้องทำเสร็จแล้วก็ไปวิ่งเล่นกัน   ส่วนฉันถูกแม่ใช้ชอล์กขีดวงไว้ให้นั่งที่ระเบียงเพื่อทำการบ้านที่แม่ออกเองต่อ   และกำชับว่า

                        “ห้ามออกจากวง   จนกว่าฉันจะอนุญาต”

                        ฉันทำการบ้านรอบสองเสร็จแล้ว   บางวันแม่ก็ลืมฉัน   ฉันจึงใช้สมุดเล่มเก่ามา

                                                                                                           

วาดรูปด้วยดินสอสีกุด ๆ   ในขณะที่เป็นช่วงต่อของกลางวันกับกลางคืน

                        ตะวันเริ่มอ่อนแสงลง   ไกลออกไปสุดสายตาปรากฏสีส้มเรืองสายบนท้องฟ้า    ทอดยาวเคลือบปุยเมฆขลิบประกายเงินยวง   อาทิตย์ยามอัสดงค่อย ๆ เคลื่อนคล้อยลงประหนึ่งอำลาอาลัยโลก   ต้นไม้ใหญ่เอนไหวกิ่งไปตามแรงลม  ฟ้าค่อย ๆ หม่นเรื่อลงพร้อมกับสีเทาเริ่มโรยตัวลงมาครอบคลุมไปทั่วแดนดิน

                        ฉันวาดรูปตะวันตกดินแล้ว   ต่อมาก็วาดรูปวิวธรรมชาติจากส.ค.ส.ที่พ่อกับแม่ได้รับตอนปีใหม่   จากนั้นก็วาดจากจินตนาการของตัวเองเป็นลำดับต่อมา   ทำให้ฉันได้คะแนนวิชาวาดเขียนเพิ่มขึ้นตามลำดับจนได้รับคำว่า ‘ดีมาก’ ในที่สุด

                        ข้างบ้านของเรามีหลุมใหญ่และค่อนข้างลึก   ซึ่งเด็ก ๆ มักชอบลงไปเล่น   พ่อบอกฉันว่า

                        “เป็นหลุมหลบภัยของชาวบ้านในสงครามโลกครั้งที่สอง   พอหวอมาผู้คนก็อุ้มลูกจูงหลานลงไปหลบในหลุมนั้น”

                        พ่อไม่ชอบญี่ปุ่น   พ่อบอกว่ามีทหารญี่ปุ่นเต็มบ้านเต็มเมืองเรา   รังแกคนไทยเสมอ   และยังพิมพ์ธนบัตรไทยให้ใช้กันด้วย   แต่แม่บอกว่าทหารญี่ปุ่นบางส่วนก็ดี   บางทีแม่อุ้มฉันซึ่งยังเล็ก   เขาก็มาทักทายและให้ขนมด้วย   เขาบอกว่าเห็นฉันแล้วคิดถึงลูก   เพราะมีวัยไล่เลี่ยกัน

                        ฉันไม่เกลียดญี่ปุ่น   แต่ฉันเกลียดสงคราม   สงครามทำให้ข้าวของแพง   ทำให้ชีวิตของคนไทยขาดความเป็นมิตรกัน   คนรวยก็กักตุนเสื้อผ้า   อาหาร  และยา   ทำให้คนจนต้องซื้อในราคาแพง   ฉันไม่เข้าใจว่าคนเรารบกันทำไม   เพื่อแสวงหาอำนาจ   เพื่อขายอาวุธสงคราม   หรือช่วงชิงผลประโยชน์อื่น ๆ   ทำให้ทหารทั้งสองฝ่ายล้มตายลงมากมายจากผู้เป็นที่รักไป

                        เมื่อสงครามสงบ   คนไทยบอบช้ำมาก   เรายิ้มให้กันอย่างที่เรียกว่า ‘ยิ้มสยาม’ก็น้อยลงไป   บางบ้านที่หน้าบ้านเคยมีโถดินเผาใส่น้ำสะอาด   มีกระบวยไว้ตักดื่มสำหรับคนที่ผ่านไปมาด้วยน้ำใจเอื้อเฟื้อ  ค่อย ๆ หมดไป   เมื่อเวลาผ่านไปจนฉันโตขึ้น   ฉันก็คิดว่า

                        ‘ต่อจากนั้นโถดินเผากับกระบวยคงถูกขโมยไปด้วย’

                        ในโรงเรียนเทศบาลที่ฉันเรียน   นักเรียนชายกับนักเรียนหญิงถูกแยกกันเรียนคนละห้อง   และมีเด็กแก่แดดชอบจับคู่ล้อเลียนว่าเป็นแฟนกัน   บางคนก็โกรธ   บางคนกลับชอบ   ฉัน

ถูกจับคู่กับเด็กชายบุญเลิศ   ซึ่งเขาสอบได้ที่ ๑ ทุกครั้ง   เช่นเดียวกับฉันครองที่ ๑ ของห้องนักเรียนหญิงทุกครั้งไป

                        เราแข่งกันเรียนทั้ง ๆ ที่แอบชอบกันตามประสาเด็ก   แต่ไม่รู้เลยว่าเหตุการณ์ในช่วงนั้นจะหวนมาทำลายฉันให้พินาศย่อยยับในภายหลัง

                        ครูประจำชั้นของนักเรียนชายชื่อครูกมล   กมลเดช

                                                                                                           

                        เขาเป็นผู้สร้างบาดแผลรอยแรกในหัวใจบอบบางของฉัน  และทำให้ฉันเปลี่ยนแปลงความรู้สึกดี ๆ ต่อเพื่อนมนุษย์รอบด้านลงไปมาก

                        แรกทีเดียวฉันได้ยินแม่พูดกับพ่อว่า

                        “ครูกมลเขาหวังไว้ว่าปีนี้เขาจะได้ ๒ ขั้น   แต่ฉันเป็นคู่แข่งของเขาอยู่   เขาจึงคอยแขวะกระแนะกระแหนฉันอยู่บ่อย ๆ   น่าเบื่อจริง ๆ ”

                   ต่อมาแม่ก็ปรารภกับพ่ออีกว่า

                        “ครูกมลผลักดันทุกวิถีทางให้บุญเลิศสอบชิงทุนการศึกษาได้   เพราะถ้าวิเป็นคนได้ทุน   ปีนี้เขาอาจไม่ได้ ๒ ขั้น”

                   เขาทำอะไรแม่ไม่ได้   เขาก็หันมากำจัดเด็กผู้หญิงตัวเล็ก ๆ อย่างฉัน

                        ปกติตอนพักเที่ยง   นักเรียนทุกคนต้องออกจากห้องเรียนไปกินอาหารที่โรงอาหาร   ห้ามเข้าไปในห้องเรียนเป็นอันขาด

                        บ่ายวันหนึ่งขณะกำลังเรียนอยู่   ครูกมลก็เข้ามาในห้องนักเรียนหญิง   และบอกกับครูประจำชั้นว่า

                        “มีนาฬิกาข้อมือของเด็กในห้องผมหายไป   และเราอยู่ห้องติดกัน   ผมจึงสงสัยว่าน่าจะเป็นเด็กในห้องนี้เอาไป”

                        ครูประจำชั้นของฉันย้อนว่า

                        “ปกติโรงเรียนห้ามเด็กนำของมีค่ามาโรงเรียนไม่ใช่หรือคะ?”

                        “แต่เขาไม่ได้เอามาใส่   เขาใส่กระเป๋าหนังสือไว้เพื่อดูเวลาตอนโรงเรียนเลิกแล้วเท่านั้นครับ”

                   “แล้วครูจะให้ทำยังไงคะ?”

                        “ผมขอค้นนักเรียนหญิงในห้องนี้ทุกคนครับ”

                        “ก็ได้ค่ะ”

                        จากนั้นครูกมลกับครูประจำชั้นของฉันก็ช่วยกันตรวจค้นนักเรียนทั้งในกระเป๋าหนังสือและตามตัว   และในที่สุดก็พบนาฬิกาที่หายอยู่ในกระเป๋าเรียนของฉัน!

                   ฉันตัวสั่นเทา   รู้สึกเหมือนโลกทั้งใบคว่ำลงมาทับฉัน   ได้แต่คร่ำครวญด้วยน้ำตาอาบหน้าว่า

                        “หนูไม่ได้ขโมย....หนูไม่ได้ขโมย....”

                        ครูใหญ่และแม่ถูกเชิญตัวมารับรู้   แม่ซึ่งเป็นผู้หญิงนุ่มนวล   อ่อนโยน   มีน้ำใจต่อคนทั่วไป   กลับกลายเป็นแม่เสือปกป้องลูกอ่อนเมื่อดึงฉันเข้าไปกอด  และเกรี้ยวกราดว่า

                        “ตอนพักเที่ยงห้ามนักเรียนเข้ามาในห้องเรียน   มีแต่ครูเท่านั้นที่เข้าได้   มันเป็นไปได้ว่าครูไปเอานาฬิกามายัดใส่กระเป๋าของวิฬารีมากกว่า”

                                                                                                           

                        ครูกมลยิ้มอย่างมีชัย

                        “ครูพรดีอย่าพยายามแก้ตัวแทนลูกดีกว่าครับ   ของกลางเห็นกันจะจะขนาดนี้ยังบิดเบือนไปโทษคนอื่น   ครูพูดราวกับว่าเห็นมากับตา”

                        “แล้วครูกมลเห็นกับตาหรือเปล่าล่ะ?”

                        ครูกมลหันไปทางครูใหญ่

                        “โทษของการขโมยของถึงขั้นต้องพักการเรียน   ครูใหญ่จะจัดการยังไงครับ?”

                        ครูใหญ่มีสีหน้าไตร่ตรอง   ก่อนสรุปว่า

                        “ตอนพักเที่ยงวิฬารีไปกินข้าวในห้องพักครู   อยู่ในสายตาของผมตลอดเวลา   ผมเป็นพยานได้”

                        ทำให้ครูกมล ‘จ๋อย’ ไปถนัดใจ   แผนการของเขาที่อุตส่าห์คิดมากลับพังลงไม่เป็นท่า

                           ความรู้สึกของฉันที่ว่าโตขึ้นจะยึดอาชีพเป็นครูเหมือนพ่อกับแม่    เปลี่ยนแปลงไปด้วยว่าครูทุกคนจะเป็นคนดีก็หาไม่   ฉันเป็นเด็กที่ยังหาจุดยืนของตัวเองไม่ได้   รู้แต่ว่าฉันชอบเขียนเรียงความ   เขียนรูป   และอ่านกลอนของสุนทรภู่   บรมครูแห่งกวีเป็นที่สุด

                        และฉันก็ไม่คิดว่าเวลาต่อมาฉันจะได้เข้ามาในวงการศิลปะอย่างเต็มตัว

                        จะด้วยความเจ็บใจครูกมลหรือแม่ปรารถนาจะให้ฉันได้รับความสำเร็จอย่างน่าภาคภูมิใจก็ตาม   แม่เคี่ยวเข็ญฉันหนักขึ้น   เมื่ออยู่ ป.๔ ฉันต้องตื่นแต่เช้ามืดเพื่อท่องอาขยานหรืออ่านหนังสือประวัติศาสตร์จนแม่นยำว่าพม่าตีกรุงศรีอยุธยาแตกครั้งแรกและครั้งที่สองในปีอะไร   ด้วยสาเหตุใด   ตลอดจนการกู้อิสรภาพของพระนเรศวรมหาราชและพระเจ้าตากสินมหาราช

                        จากการสอบได้ที่ ๑ ทั้งของฉันและบุญเลิศ   เราต้องเอาชนะกันด้วยคะแนนอีกประการหนึ่ง

                        ฉันจึงต้องตกเป็น ‘เหยื่อ’ ครั้งต่อมาในการแข่งขันของครูกมล

                        เขาเข้ามาในห้องเรียนของฉันอีกครั้งหนึ่งระหว่างการสอน   ด้วยใบหน้าแสดงความเป็นมิตร   และบอกครูประจำชั้นว่า

                        “ผมขอยืมตัวเด็กนักเรียนหญิงสักคนนะครับ   เพื่อทดสอบความคิดแตกต่างของเด็กผู้หญิงและเด็กผู้ชาย”

                        ครูประจำชั้นอนุญาต   ครูกมลจึงพาฉันเข้าไปในห้องนักเรียนชาย   ให้ยืนหน้าห้อง   และสอนนักเรียนชายว่า

                        “พวกเธอเป็นผู้ชายจึงไม่มีปัญหาเรื่องเหา   เหาเป็นสัตว์ขนาดเล็กมากชนิดหนึ่ง   อาศัยอยู่บนหัวคนเพื่อดูดเลือด   มีไข่เป็นสีขาวเกาะอยู่ตามเส้นผม   มักจะเป็นกับผู้หญิงซึ่งมีเส้นผมยาวกว่าผู้ชาย   ใครไม่เคยเห็นเหาบ้าง?”

                                                                                                           

                        นักเรียนชายยกมือกันสลอน   ขณะที่ฉันตีหน้าพิพักพิพ่วน   เพราะฉันก็เป็นเหาเหมือนกัน   เนื่องจากเรียนร่วมห้องกับเด็กจากสลัม   จึงทำให้ติดเหาจากเพื่อน   นักเรียนหญิงทุกคนในห้องไม่มีใครไม่เป็นเหา

                        ครูกมลพูดต่อไปว่า

                        “ถ้าใครอยากเห็นเหาก็มาดูที่หัวของวิฬารี   และถ้าใครจับเหาได้ก็นับว่าเก่ง”

                        เท่านั้นแหละ   นักเรียนชายทั้งห้องก็กรูเข้ามาที่ฉันเหมือนหมาป่าทั้งฝูงรุมขย้ำลูกแกะ   ต่างเข้ามาแหวกเส้นผมฉัน   ตะกุยหนังศีรษะของฉัน   ดึงทึ้งกันไปมาจนฉันยืนโซซัดโซเซแทบจะล้มลงไปกองอยู่ตรงนั้น

                        ทั้งเจ็บ   ทั้งอาย   เป็นความทรงจำที่โหดร้ายที่สุดสำหรับฉัน   แต่บุญเลิศเป็นคนที่พยายามดึงฉันออกมาจากกลุ่มเด็กชายคะนองเหล่านั้น   และดุเพื่อน   ฉันจึงรอดออกมาได้ในสภาพสะบักสะบอม

                        เมื่อออกมาจากห้องได้   ฉันไม่กลับห้องเรียนของตัวเองหรือไปหาแม่   แต่วิ่งไปยังด้านหลังโรงเรียน   ทรุดนั่งลงใต้ต้นชมพู่   ร้องไห้สะอึกสะอื้นปานใจจะขาด   ฉันไม่เข้าใจว่าคนมีอาชีพครูจะใจทมิฬหินชาติกับเด็กผู้หญิงไร้เดียงสาขนาดนั้นได้อย่างไร

                        ฉันไม่ได้เล่าเรื่องนี้ให้ใครฟังแม้แต่แม่   ทว่าแม่ก็รู้เข้าจนได้จากใครก็ตาม   แม่กอดฉันร้องไห้น้ำตาหยดเผาะ ๆ ลงบนศีรษะฉันจนเปียกไปหมด

                        จะว่าไป   แม่รักปีแสงมากที่สุดเพราะเธอเป็นลูกคนเล็ก   และเธอเป็นเด็กที่ช่างพูด   ช่างประจบ   ส่วนฉันเป็นคนเงียบ ๆ เฉย ๆ   และช่างคิด

                        แม่คร่ำครวญว่า

                        “แม่ทำให้วิเดือดร้อนแท้ ๆ   แม่เข้าใจดีว่าวิรู้สึกยังไง   แต่เมื่อวิเติบโตขึ้นไปก็จะรู้จักความเหี้ยมเกรียมของมนุษย์   ต้องผจญกับการต่อสู้ด้วยตัวเองเมื่อไม่มีพ่อแม่แล้ว   วิต้องเข้มแข็งนะลูก”

                   “ค่ะ”

                        ฉันรับคำทั้งที่ไม่สู้เข้าใจคำพูดของแม่นัก

                        พ่อห้ามแม่ไม่ให้เอาเรื่องนี้ไปฟ้องครูใหญ่   เพราะเรื่องจะบานปลายให้เกิดความยุ่งยากเพิ่มขึ้นอีก

                        ทำให้ฉันพยายามมากขึ้นเป็นสิบเป็นร้อยเท่าเพื่อสอบชิงทุนการศึกษาให้ได้   เป็นสิ่งเดียวที่ฉันสามารถตอบแทนครูกมลได้

                        ในที่สุดฉันก็ทำได้สำเร็จ

                        ฉันสอบได้ที่ ๑ ในจำนวนนักเรียนเทศบาลชั้นประถมทั้งประเทศในปีนั้น

                                               

 

 

 

                                                                                                            ตอน ๒

 

                        การสอบเข้าเรียนต่อในชั้นม.๑ ไม่ใช่เรื่องยากสำหรับฉัน   โรงเรียนมัธยมมีการจัดสอบเอง   วันสอบจึงไม่ตรงกัน

                        ฉันไปสอบ ๓ โรงเรียน   ผลปรากฏว่าสอบได้หมด   พ่อจึงให้ฉันเลือกเรียนโรงเรียนที่อยู่ใกล้โรงเรียนที่พ่อสอน   จะได้ไปกลับด้วยกัน

                        เลิกเรียนแล้วฉันก็เดินไปหาพ่อ   พ่อเลิกสอนแล้วก็เข้าโรงยิม   หัดมวยให้นักเรียนที่ชอบทางนี้   เพราะพ่อมีวุฒิการสอนพละเอกด้วย   นักเรียนของพ่อภายหลังได้เป็นนักมวย

แชมเปี้ยนโลกก็มี

                        พ่อว่างจากสอนนักมวยก็สอนให้ฉันเตะต่อยเหมือนกัน   พ่อสวมนวมเป็นเป้าล่อต่ำ ๆ ก่อนให้ฉันเตะ   และค่อย ๆ เตะสูงขึ้นเป็นลำดับ   พ่อคงหวังว่าในวันข้างหน้าฉันอาจใช้เป็นการป้องกันตัวด้วย   โดยพ่อไม่รู้หรอกว่าฉันเป็นคนสู้ชีวิต   แต่ไม่สู้คน

                        เราสองคนพี่น้องเรียนชั้นมัธยมแล้ว   รายจ่ายก็เพิ่มขึ้นเป็นลำดับ   ฉันรู้ว่าพ่อแม่กระเบียดกระเสียรเพียงใดที่จะประคับประคองความเป็นอยู่ของครอบครัวให้ผ่านต้นเดือนไปถึงปลายเดือนให้ได้   ฉันเป็นคนแต่งตัวมอซอที่สุดในห้อง   ความฝันของฉันมีอยู่เพียงว่าอยากใส่เสื้อกระโปรงนักเรียนใหม่ ๆ ทั้งชุดเท่านั้น

นอกเหนือจากชุดนักเรียนยังมีชุดเรียนพลศึกษาซึ่งเป็นกางเกงขาสั้นสีขาว   กับ

รองเท้าผ้าใบสีขาว   ซึ่งแม่ซื้อจากคนขายของมือสอง   ใส่ไม่กี่ครั้งก็มันก็มันกระมอมกระแมมแล้ว   ฉันจึงแอบขอของใหม่จากแม่

                        แม่บอกว่า

                        “ฉันไม่มีเงินเลย   เดี๋ยวนี้ยังมีหนี้มีสินอยู่อีกมาก   แกไปขอจากพ่อก็แล้วกัน”

                        แต่เมื่อฉันไปขอจากพ่อ   พ่อก็รับฟังเฉย ๆ   ไม่รับ   ไม่ปฏิเสธ   และไม่ให้

                        นอกจากนั้นสิ่งที่ฉันต้องใช้คือวัสดุในชั่วโมงการฝีมือ   ครูสั่งให้ซื้อผ้า   ด้ายมัน   และเข็ม   เพื่อทำคัทเวิร์ก   ซึ่งพ่อก็ไม่ให้เหมือนกัน

                        ฉันจึงถูกครูพละกับครูการฝีมือดุเป็นประจำ   จากที่ดุซ้ำ ๆ ซาก ๆ จนเปลี่ยนเป็นให้ยืนกางแขนคาบไม้บรรทัดหน้าห้อง   และให้วิ่งรอบสนามโรงเรียน   ขณะที่เพื่อนร่วมห้องได้เรียนกันทุกคน

                        อาหารกลางวันของฉันเป็นข้าวสวยกับไข่ต้มโรยเกลือเป็นประจำ   จาก       

                                                                                                           

ไก่ที่พ่อเลี้ยงไว้หลังบ้าน   ใส่กระป๋องข้าวสี่เหลี่ยมทำด้วยโลหะ   และมีกล่องเล็กซ้อนอยู่เพื่อ

ใส่กับข้าว   ถึงเวลาพักกินอาหารกลางวันฉันก็ไปนั่งกับเพื่อน ๆ ในโรงอาหาร   ต่างคนต่างหยิบ

กล่องเล็กมาวางกลางวงแล้วกินด้วยกันเพื่อแต่ละคนจะได้ลิ้มรสกับข้าวหลาย ๆ อย่าง

                        กับข้าวของคนอื่นมีทั้งผัดผัก   หมูทอด   ปลาสลิดทอดแกะเอามาแต่เนื้อปลา   หรือไม่ก็ไข่ยัดไส้   ด้วยความเป็นเด็กฉันจึงกินกับข้าวของเพื่อน   ส่วนคนอื่นไม่มีใครกินไข่ต้มโรยเกลือของฉันเลย

                        เพื่อนฝูงเริ่มรังเกียจฉัน   พอฉันเข้าไปนั่งร่วมโต๊ะด้วยทุกคนก็ลุกขึ้นหนีฉันไปหมด   เหลือฉันนั่งกินข้าวกับไข่ต้มโรยเกลืออยู่คนเดียว

                        ฉันอับอายและหดหู่เป็นที่สุด   จากนั้นจึงตัดสินใจเอาไข่ต้มคลุกข้าวไปให้สุนัขของภารโรงกิน   ส่วนฉันไปกินน้ำจนพุงกางแล้วเข้าไปอ่านหนังสือในห้องสมุด   เป็นการจุดประกายความรักหนังสือของฉันขึ้นโดยไม่รู้ตัว

                        ถ้าจะถามว่าปีแสงเป็นเช่นเดียวกับฉันหรือเปล่า   ฉันก็ต้องตอบว่าไม่รู้   เพราะความที่เธอได้รับการเอาใจจากพ่อกับแม่ทำให้ฉันกับน้องห่างเหินกันมาแต่เล็กแล้ว   ฉันถูกเคี่ยวเข็ญให้เรียน ๆ ๆ   ในขณะที่ปีแสงเติบโตมาสมวัย   คือได้เรียน   ได้เล่นตามประสาเด็ก 

ความฝันอันเรืองรองในหัวใจของฉันมีประการเดียวคือ   รอคอยวันที่ทุนการศึกษา

จะออก   และฉันจะได้ชุดนักเรียนใหม่สักชุด   รวมทั้งชุดพละและอุปกรณ์ทำการฝีมือ

                        แล้ววันนั้นก็มาถึง   ครูบอกฉันว่า

                        “วิฬารี   ไปเชิญผู้ปกครองของเธอมาเซ็นรับทุนการศึกษาได้แล้ว”

                        ฉันดีใจจนแทบจะบินได้   รีบจดรายการของที่ฉันจะต้องใช้ด้วยหัวใจเอิบอิ่มปริ่มเปรม  ถึงเวลาแล้วที่ฉันจะได้ไม่ถูกครูทำโทษ   และเดินยืดอกที่สวมชุดใหม่เหมือนใครเขา

                        พ่อไปรับทุนการศึกษาประจำปีแล้ว   ฉันก็เลียบ ๆ เคียง ๆ เข้าไปหา   พ่อถามว่า

                        “มีอะไรหรือ?”

                        “รายการของที่วิจะต้องใช้ในการเรียนค่ะ”

                        พ่อรับกระดาษจากมือฉันไปอ่าน   แล้วขมวดคิ้ว

                        “ทำไมจะต้องตัดชุดนักเรียนด้วย   แกยังมีอยู่ไม่ใช่หรือ?”

                        “วิใส่เสื้อมือสองมานานแล้ว   อยากมีชุดใหม่เป็นของตัวเองสักชุดหนึ่งค่ะ”

                        “ไม่จำเป็น   ใช้ของที่มีอยู่ไปก่อนก็แล้วกัน”

                        ใจฉันฝ่อลง   แต่ก็ยังต่อรองว่า

                        “ถ้ายังงั้นวิก็ขอรายการอื่นที่จดมาค่ะ”

                        “ชุดพละก็ยังใช้ของเก่าไปก่อนได้   ส่วนอุปกรณ์ทำการฝีมือฉันจะให้ตอนสิ้นเดือน   หลังจากเงินเดือนออก”

                                                                                                           

                        กว่าพ่อจะให้   ฉันก็ทำไม่ทันส่งครูแล้ว   เมื่อพ่อให้เงินแม่ไปซื้อของดังกล่าวมาส่งให้ฉัน   ฉันก็เดินถือเข้าไปในครัว   ใช้มีดอีโต้สับมันเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย

                        พ่อโกรธจนแทบจะเอามีดเล่มนั้นสับฉันให้แหลกตามไปด้วย

                        “ดูมันทำ   เด็กคนนี้ยโสโอหังไม่มีใครเกิน”

                        ฉันเพิ่งขึ้นเสียงเถียงพ่อเป็นครั้งแรกว่า

                        “ทำไมวิไม่มีสิทธิ์ที่จะใช้เงินที่วิอุตส่าห์พยายามแทบเลือดตากระเด็นกว่าจะได้มาคะ?”

                        “แกอยู่ตัวคนเดียวในโลกหรือ?   บ้านก็เช่า   ข้าวก็ซื้อ   เงินที่ได้มาก็ต้องไปให้ค่าเช่าบ้าน   เป็นค่าอาหารของคนในบ้าน   และใช้หนี้ใช้สิน   ไม่ใช่จะประเคนให้แกคนเดียว”

                        ฉันนึกถึงการถูกบังคับให้นั่งในวงที่ขีดด้วยชอล์ก   ได้แต่ชะเง้อคอดูน้องเล่นโยนห่วงหรือไล่จับกันกับลูกของเพื่อนบ้านพลางส่งเสียงหัวเราะกันอย่างร่าเริง   และต้องถูกกรอกใส่หูแทบทุกวันว่า

                        “แกต้องสอบให้ได้ที่ ๑ นะ   จะได้เป็นทุนเรียนต่อไปในวันข้างหน้า”

                        ทำให้ฉันย้อนกลับไปอย่างเจ็บปวดว่า

                        “แต่มันควรเป็นเงินของวิ   รู้ยังงี้วิไม่ทุ่มเทเพื่อการสอบขนาดนี้หรอก   พ่อใจร้าย”

                        พ่อเงื้อมือทำท่าเหมือนกับจะตบฉัน   แต่แม่เข้ากั้นกางไว้

                        “คุณอย่าไปลงโทษมันเลย   เด็กคนนี้มันเก็บกด   ค่อยพูดค่อยจากันดีกว่า”

                        แม่พูดถูกเพียงครึ่งเดียว   ฉันไม่ได้เก็บกดเฉพาะในบ้าน   ทว่ามีปัญหาทางโรงเรียนมากกว่าเสียอีก

                        ด้วยว่าแม้ฉันจะเรียนเก่งมาก่อนในชั้นประถม   แต่ถึงชั้นมัธยมฉันกลับกลายเป็นตรงกันข้าม   มาตรฐานการเรียนของโรงเรียนเทศบาลต่ำกว่าโรงเรียนรัฐบาลและโรงเรียนราษฎร์   ฉันจึงเรียนรู้เรื่องบ้างไม่รู้เรื่องบ้าง

                        โดยเฉพาะภาษาอังกฤษ   โรงเรียนเทศบาลไม่มีการสอนเหมือนโรงเรียนเหล่านั้น   ในขณะที่เพื่อนในห้องรู้คำศัพท์จนผสมเป็นประโยคแล้ว   ฉันยังไม่รู้จักแม้แต่ A B C D   และงุนงงสับสนไปหมดในชั่วโมงภาษาอังกฤษ   ทำให้ครูลงโทษฉันจนระอาไปเอง

                        ในการสอบ   ฉันได้คะแนนสูงจากวิชาภาษาไทย   ประวัติศาสตร์   เลขคณิต   สุขศึกษา   ประคองให้สอบผ่านมาได้อย่างลำบากยากเย็น   จนฉันต้องปลงกับตัวเองว่า

                        ‘อยู่บ้านพ่อก็จะตบ   ไปโรงเรียนครูก็จะตี   กูเป็นคนหรือเปล่านี่?’

                        ฉันออกลาย ‘เด็กสลัม’ ออกมาด้วยความคับแค้น

                        แม้พ่อกับแม่จะเป็นครู   แต่ก็ไม่สามารถสอนภาษาอังกฤษตั้งแต่พื้นฐานให้ฉันได้

เพราะเลิกงานแม่ก็ต้องไปจ่ายตลาดมาทำกับข้าว   ส่วนพ่อไปสอนพิเศษในโรงเรียนกวดวิชา

                                                                                                           

                        ฉันรบรากับครูสอนภาษาอังกฤษอยู่นานทีเดียว   จากนั้นพอวันไหนมีชั่วโมงภาษาอังกฤษฉันก็หนีโรงเรียน   และปลอมลายเซ็นพ่อ

                        สถานที่ที่ฉันชอบไปเตร็ดเตร่ฆ่าเวลาคือหน้าโรงภาพยนตร์เฉลิมกรุง   ดูโปสเตอร์โฆษณา   และได้เห็นนักแสดงตัวประกอบไปชุมนุมกันที่ร้านกาแฟเพื่อหางานทำด้วย   ใกล้เวลาโรงเรียนเลิกฉันจึงกลับไปหาพ่อที่โรงเรียน

                        เมื่อเข้าสอบในปีต่อมา   ด้วยความจงใจจะประท้วงพ่อ   ฉันจึงส่งกระดาษเปล่าทุกวิชา

                        ครูใหญ่เชิญผู้ปกครองไปพบอีก   และถามว่า

                        “ไม่ใช่เด็กหญิงวิฬารีจะทำข้อสอบไม่ได้   แต่แกส่งกระดาษสอบเปล่าทุกวิชาค่ะ   แกมีปัญหาอะไรหรือคะ?”

                        พ่อพาฉันกลับบ้านเหมือนนำนักโทษประหารไปยิงเป้า   ฉันทำใจได้แล้ว   เมื่อพ่อเล่าเรื่องให้แม่ฟัง   ฉันก็เตรียมตัวรับการตัดสินของพ่อ

                        พ่อคำรามว่า

                        “แกรู้หรือเปล่าว่าทำอะไรลงไป?   การสอบตกหมายความว่าการรับทุนการศึกษาจะสิ้นสุด   เรายากจนขนาดนี้แกยังไม่สะใจหรือ?   เด็กคนนี้เลี้ยงไม่ได้แล้ว   มันหัวดื้อหัวแข็งผิดน้อง”

                   พ่อสั่งให้ฉันกอดอก   แล้วใช้เข็มขัดโบยตีกระหน่ำจนน่องฉันแตกยับ   ฉันไม่ร้องขอความกรุณาหรือหลั่งน้ำตาสักหยดเดียว   แม้หัวใจจะเจ็บปวดปางตายยิ่งกว่าบาดแผลที่ได้รับ   มันลึกซึ้งทุกข์ทนจนไม่คิดว่าจะขุดค้นรวบรวมวาจาประโยคใดออกมากล่าวให้สมกับความรู้สึก

                        ฉันรู้ว่าฉันผิด   ฉันเลว   และอกตัญญู   แต่อะไรเล่าที่ผลักดันให้ฉันเป็นเช่นนี้?   เกิดจากสันดานส่วนลึกของฉันหรือ?

                        แม่ได้แต่นั่งร้องไห้   กระทั่งพ่อเหนื่อยไปเองก็โยนเข็มขัดทิ้ง   ปล่อยให้แม่พาฉันไปใส่ยา   โดยเราไม่ได้พูดกันแม้แต่ประโยคเดียว

                        รุ่งขึ้นฉันก็ปวดระบมไปหมด   และรู้สึกตะครั่นตะครอราวกับจะเป็นไข้   แต่ทิฐิอันแรงกล้าทำให้ฉันแต่งตัวเหมือนจะไปโรงเรียน   และหนีไปยังโรงภาพยนตร์เฉลิมกรุงเช่นเคย

                        ความอ่อนเพลียและหิวโหยบวกกับอาการไข้ทำให้ฉันแอบไปนั่งอยู่มุมหนึ่งที่ไม่มีใครสนใจ   และผล็อยหลับไปนานหลายชั่วโมง

                        ฉันไม่คิดจะกลับบ้าน   ทว่าก็ไม่รู้จะไปไหน   จึงนั่งมองผู้คนที่เข้าไปในโรงภาพยนตร์และคนที่ออกมาเมื่อจบเรื่อง   เห็นพ่อ   แม่   ลูกจูงมือกันถือข้าวโพดคั่วไปกินในโรงก็ได้แต่สะท้อนใจ   รู้สึกว่าฉันเป็นคนตัวคนเดียวในโลกนี้แล้ว

                        เมื่อภาพยนตร์รอบดึกจบ   คนดูก็กลับบ้านไปหมด   เหลือฉันนั่งอยู่บนพื้นหน้า

                                                                                                           

โรงคนเดียว   กับหมาขี้เรื้อนเกาเนื้อตัวแกรก ๆ อยู่ใกล้กัน

                        มีชายหญิงคู่หนึ่งออกมาท้ายสุด   เขาเป็นสามีภรรยานักพากย์อยู่ที่นั่น   เขามองฉันอย่างประหลาดใจ

                        “ดึกแล้วทำไมหนูยังไม่กลับบ้าน?”

                   “ไม่มีบ้าน” ฉันตอบ

                        เขาซักไซ้อะไรฉันหลายอย่าง   หากฉันได้แต่นิ่งเงียบ   ครั้นเขาจะผละไปฉันกลับบอกว่า

                        “ขอหนูไปด้วยซิ”

                        “แต่ฉันยังไม่กลับบ้าน”

                        “น้าไปไหนหนูก็ไปด้วยได้”

                        ในที่สุดเขาก็พาฉันไปยังสถานที่ที่ฉันไม่เคยเหยียบย่างเข้าไปเลย   นั่นคือโรงยาฝิ่น

                        ในโรงยาฝิ่นมีหมอนสามเหลี่ยมให้หนุนเวลานอนสูบฝิ่น   สีมันดำด้วยเหงื่อไคลของใครต่อใครที่หมุนเวียนกันมาใช้บริการ   ตะเกียงเล็ก ๆ จุดไฟไว้   และกลิ่นเหม็นเอียนของก้อนฝิ่นที่เขาปั้นลนไฟ   นักพากย์ผู้ชายสูบฝิ่นเช่นเดียวกับคนตัวผอม ๆ ที่อยู่ในนั้น   เป็นคนไทยบ้าง   คนจีนบ้าง

                        ฉันจึงตกบันไดพลอยโจนใช้ชีวิตอยู่ในโรงยาฝิ่นนั้น   รับจ้างคนสูบฝิ่นไปซื้ออาหารหรือโอเลี้ยง   และเขาก็ให้เงินฉันได้ซื้ออาหารการกินพอประทังชีวิตอยู่ได้   โดยไม่คิดถึงอนาคตหรืออะไรนอกเหนือจากการใช้ชีวิตไปวันหนึ่ง ๆ เท่านั้น

                        เด็กเร่ร่อนเหมือนฉันมีอยู่ไม่น้อย   ทั้งผู้ชายผู้หญิง   กลางคืนก็ไปนอนอยู่ใต้สะพานพุทธ   กลางวันก็ไปขอทานบ้าง   ล้วงกระเป๋าบ้าง   แต่เราหัวอกอันเดียวกันจึงไม่มีการทะเลาะเบาะแว้งบ่อยนัก   เมื่อมีปัญหาก็มีหัวหน้าแก๊งคอยไกล่เกลี่ยและตัดสิน

                        ฉันไม่ยอมขอทานหรือล้วงกระเป๋า   มีศักดิ์ศรีของความเป็นคนอยู่บ้างเหมือนกัน

                        กระทั่งขณะที่ฉันไปรับจ้างซื้อของ   ก็พบว่ามีผู้ชายคนหนึ่งยืนอยู่หน้าร้านขายหนังสือมองหาปกหนังสือที่เขาต้องการ   หนึ่งในพลพรรคเด็กเร่ร่อนด้วยกันกับฉันก็ย่องไปด้านหลังเขา   และล้วงกระเป๋าชายหนุ่มด้วยฝีมือเบากริบอย่างเชี่ยวชาญ

                        จากนั้นก็วิ่งผ่านหน้าฉันไป   ฉันจึงยื่นขาออกไปขัดขาของเขาให้ล้มลง   กระเป๋าเงินกระเด็น   ฉันเข้าไปหยิบมันขึ้นมาแล้วส่งให้ผู้เป็นเจ้าของ   เขารับแล้วถามว่า

                        “ขอบใจหนูมาก   เด็กคนนั้นรู้จักกันหรือเปล่า?”

                        “รู้จักค่ะ”

                        เขามองสภาพสกปรกมอมแมมของฉันด้วยแววตาเมตตา

                        “หนูไม่มีบ้านอยู่หรือ?”

                                                                                                           

                        “ไม่มีค่ะ”

                        เขาซักถามอะไรหลายอย่าง   แต่ฉันไม่ยอมพูดความจริง   เขาจึงหยิบนามบัตรมาส่งให้ฉันพร้อมกับเงินจำนวนหนึ่ง   แต่ฉันหยิบนามบัตรมาโดยไม่ยอมรับเงิน   และบอกว่า

                        “ไม่ต้องหรอกค่ะ   หนูมีรายได้อยู่แล้ว   การทำความดีไม่ต้องการผลตอบแทน”                      “แล้วเราคงจะได้พบกันอีก   มีอะไรให้ฉันช่วยก็ติดต่อไปได้นะ”

                        เขายิ้มให้ฉันก่อนผละไป 

                          ฉันมารู้ในเวลาต่อมาว่า   ในระหว่างนั้นแม่ตามหาฉันแทบพลิกแผ่นดิน   หมอดู   คนทรง   พระรูปไหนที่ว่าดูดวงแม่น   แม่เอาดวงฉันไปให้ดูหมด   ทุกรายบอกตรงกันว่าฉันยังมีชีวิตอยู่   ไม่ได้ประสบเหตุเภทภัยแต่อย่างใด   ให้ไปตามยังทิศโน้นทิศนี้

                        ผู้คนและถนนหนทางในกรุงเทพฯมีอยู่ไม่มากนัก   แม่จึงตามจนเจอฉัน

                        แม่จำฉันได้แม้ฉันจะมอมแมมเหมือนแมวคลุกขี้เถ้า   แม่บอกว่า

                        “กลับบ้านของเราเถอะ   ต่อไปนี้พ่อเขาจะไม่ตีวิอีกแล้ว   ถ้าเขาจะตี   แม่จะเอาตัวแม่เข้ารับแทน”

                        เมื่อฉันกลับถึงบ้าน   ไม่มีใครแสดงกิริยาผิดปกติ   คงเป็นเพราะแม่กำชับไว้   แม่จับฉันอาบน้ำถูขี้ไคลหนาเตอะในตัวฉันจนแทบปั้นเป็นก้อนได้   และถามว่า

                        “เคยอาบน้ำบ้างไหมนี่?”

                        “เคยค่ะ”

                        “อาบที่ไหน?”

                   “ที่ก๊อกน้ำสาธารณะค่ะ”

                        ตามริมถนนมีก๊อกน้ำสาธารณะอยู่ทั่วไป   ลักษณะเป็นรูปกลม ๆ สูงพอประมาณ   ทาสีดำ   ชาวบ้านที่การประปายังไปไม่ถึงจึงนำถังใส่น้ำกลับไปใช้ที่บ้าน   บางคนก็เอาผ้ามาซักเสียเลย   น้ำไหลแรงมากทำให้ฉันนึกเปรียบเทียบว่า   ทำไมน้ำประปาตามบ้านจึงไหลกะปริบกะปรอยแตกต่างกันเสียจริง

                        ปีแสงถามถึงการออกไปผจญภัยนอกบ้าน   ฉันก็เล่าอย่างสนุก   ปีแสงเป็นน้องที่อายุห่างจากฉันเพียงปีเศษ   เราจึงเหมือนเป็นเพื่อนกันมากกว่าความเป็นพี่น้อง   แม้ความเป็นอยู่ของเราจะต่างกันลิบลับ

                        ปีแสงบอกว่า

                        “พ่อกะจะตีพี่วิให้สลบคามือเลย   แต่แม่บอกว่าถ้าพ่อทำ   แม่จะหนีออกจากบ้านไปด้วย”

                        นี่คือความสัมพันธ์ระหว่างพ่อกับฉัน   ซึ่งไม่มีความรู้สึกดีต่อกันตลอดชีวิต


รีวิว (0)


สินค้าที่ใกล้เคียง (71 รายการ)

www.batorastore.com © 2024