จำนนรักจอมมาร (อิ่มอุ่น)
ประหยัด: 187.50 บาท ( 75.00% )
เนื้อหาบางส่วน
เสียงเฮฮาแข่งกับจังหวะดนตรีที่ดังกระหึ่มในงานฉลองมงคลสมรสของคู่บ่าวสาว ที่จัดขึ้นในโรงแรมหรูใจกลางกรุงเทพมหานคร โต๊ะในสุดเป็นที่รวมตัวของเหล่าสุภาพบุรุษซึ่งนานทีปีหนจะมาพบหน้ารวมตัวกันครบเช่นนี้
โดยเฉพาะชายหนุ่มที่นั่งอยู่กลางโต๊ะเจ้าของฉายาฤาษีจำศีลด้วยแล้ว นี่ถ้าไม่ใช่งานแต่งงานของเพื่อนรักที่เรียนร่วมรั้วมหาวิทยาลัยเดียวกันแล้วล่ะก็ อย่าหวังว่าจะเห็นพ่อเจ้าประคุณอยู่ท่ามกลางแสงสีเช่นนี้เลย
"เอ้า ดื่มให้กับเพื่อนเราที่กำลังจะมีบ่วงผูกคอเป็นรายล่าสุด ขอต้อนรับสู่สมาคมคนรักเมีย" ทุกคนที่นั่งอยู่ในนั้นพร้อมใจยกแก้วน้ำสีอำพันชูขึ้นเหนือศีรษะ แตะแก้วพร้อมกันเบาๆ จากนั้นก็กลืนมันลงคอด้วยสีหน้ายิ้มแย้มมีความสุข
"เหลืออีกกี่คนวะ ที่ยังไม่มีมอสระเอีย เมีย มานอนกอด" ชายร่างผอมบางเอ่ยถามกลางวง
"เหลือไอ้กร แล้วก็ไอ้ฤาษีของเรา ท่าทางรายหลังนี้จะมีเมียเป็นดอกไม้เสียมากกว่ามั้ง"
ทุกคนพร้อมใจกันหัวเราะลั่น มีเพียงเจ้าของฉายาฤาษีจำศีลเท่านั้นที่อมยิ้มมุมปากเพียงเล็กน้อย ไม่ถือสาหาความกับคำพูดเปรียบเปรยของเพื่อนๆ
"ระวังนะโว้ย เห็นเงียบๆ ทำท่าไม่สนใจผู้หญิงในโลกสักคน ไม่แน่คุณโมกข์ของเราอาจจะคว้านางฟ้าบนสวรรค์มาเป็นเมียหน้าตาเฉยก็ได้"
"พูดเกินไปแล้ว ไอ้กร" โมกข์ส่ายหน้าแล้วยกแก้วน้ำสีอำพันขึ้นจิบอย่างอารมณ์ดี เขายังไม่คิดเรื่องการมีครอบครัว ยังสนุกกับการใช้ชีวิตโสดกับงานปลูกต้นไม้แบบนี้ไปเรื่อยๆ แม้เพื่อนๆ จะทยอยกันไปมีครอบครัวจนเกือบหมด
ทุกคนต่างพูดคุยถามสารทุกข์สุขดิบกันอย่างสนุกสนาน ทุกครั้งที่มีการรวมตัวต่างก็จะมีเรื่องเล่าเกี่ยวกับความเจริญก้าวหน้าในชีวิตส่วนตัวและครอบครัว มาแบ่งปันกันด้วยรอยยิ้มและเสียงหัวเราะที่สนุกสนาน
แน่นอนว่าคนโสดอย่างโมกข์ได้แต่นั่งฟัง อมยิ้มหรือหัวเราะ หรือทำตัวเป็นผู้รับฟังที่ดีแทบทุกครั้ง ประสบการณ์ที่เพื่อนๆ นำมาแบ่งปันทั้งในมุมสุขและมุมทุกข์ ทำให้เรียนรู้ว่าการใช้ชีวิตครอบครัวไม่ใช่ง่ายแต่ก็ไม่ได้ยากเกินไปนัก
"เห็นสาวโต๊ะโน้นไหม มองเอ็งตาเป็นมันเลย" เพื่อนที่นั่งข้างโมกข์ยกแก้วขึ้นทักทาย สาวน้อยใจกล้าในชุดเดรสสีแดงที่ส่งสายตาหาเพื่อนรักมาสักพักหนึ่งแล้ว
"ไม่รู้จะโดนข้อหาพรากผู้เยาว์หรือเปล่า” โมกข์กระซิบกับเพื่อนเบาๆ แล้วเมินหน้าหนีมองไปทางอื่น ปล่อยให้เจ้าเพื่อนตัวดีส่งยิ้มหวานทักทายกลับไปเพียงคนเดียว
“พวกเอ็งจะกลับกันตอนไหน" โมกข์หันมาถามคนอื่นในกลุ่ม
"จะรีบกลับไปไหน ต้นไม้เอ็งไม่หายไปไหนหรอกน่า" เพื่อนคนหนึ่งเอ่ย
ทุกคนในโต๊ะตั้งใจแล้วว่าคืนนี้จะไม่ยอมปล่อยให้ฤาษีโมกข์กลับสวนแต่หัววันแน่ นานๆ เจอกันทีแบบนี้มันต้องมีดวลกันหน่อย ว่าแล้วทุกคนก็พร้อมใจกันชงน้ำสีอำพันแก้วให้พ่อฤาษีต่อ
"พรุ่งนี้ข้ามีงานส่งลูกค้าแต่เช้า พวกเอ็งตามสบายเถอะ" โมกข์ทำท่าจะขอตัวกลับก่อน บ้านสวนของเขาอยู่ไกลจากที่นี่และไม่มีใครกลับทางนั้นด้วย
“จะรีบไปไหน นั่งๆ นานๆ จะมารวมกันที”
โมกข์ถูกดึงตัวไว้ให้นั่งต่อ และสุดท้ายมนต์เจ้าน้ำสีอำพันรวมกับเรื่องสนุกๆ ที่ต่างคนต่างสรรหามาเล่า ก็ทำให้เจ้าของสวนหนุ่มเพลินจนลืมเวลาไปเลยทีเดียว
"มีห้องพักให้ถ้าใครกลับไม่ไหว" เจ้าบ่าวของงานเดินกลับมาหาเพื่อนหลังจากที่ทักทายแขกในงานจนครบ โมกข์รู้สึกมึนเพราะถูกใครต่อใครส่งแก้วให้เพียงคนเดียว ฉายาโมกข์คอทองแดงคงต้องจบลงในคืนนี้เสียแล้ว เมื่อเขาเป็นคนแรกที่เอ่ยปากบอกว่า
"ข้างีบสักชั่วโมงแล้วกัน"
"ข้ากลับดีกว่า / ข้าด้วย" หลายคนทยอยกลับ บางคนที่บ้านไปทางเดียวกันก็ติดรถไปไปด้วย
"อ้าว พวกเอ็งทิ้งไอ้โมกข์นอนคนเดียวได้ไงวะ แบบนี้ของดีที่ข้าเตรียมไว้ให้ไอ้โมกข์ก็ได้ไปกอดคนเดียวซิ" เจ้าบ่าวของงานพูดทีเล่นทีจริง
“อะไรวะ ของดีที่เอ็งเตรียมไว้”
“น่ากลัวว่าจะเป็น...” เสียงหัวเราะลั่นในกลุ่มเมื่อทุกคนมองหน้าและเข้าใจความหมายของคำว่าของดีที่เพื่อนพูดถึง
“คืนนี้สละให้ไอ้โมกข์เถอะ นานๆ ฤาษีจะออกจากป่ามาเชยชมของสวยของงามตามวิถีโลก”
“ไอ้พวกบ้า คิดพิเรนทร์อะไรเนี่ย” โมกข์ส่ายหน้ากับความไม่เข้าท่าของเพื่อน หันไปขอคีย์การ์ดห้องพักเพื่อจะขึ้นไปพักผ่อน ทุกคนร่ำลากันอีกครั้งก่อนจะแยกย้ายกันกลับบ้านใครบ้านมันไป
โมกข์อยากนอนใจจะขาดตาแทบจะลืมไม่ขึ้น ในที่สุดเขาก็มาถึงชั้นสิบห้าห้องหนึ่งห้าศูนย์ห้า แต่พอจะเสียบคีย์การ์ดเพื่อเปิดประตูเข้าไป ชายหนุ่มก็พบว่าประตูเปิดแง้มไว้อยู่ก่อนแล้ว ความง่วงอยากจะนอนเต็มแก่ ทำให้ไม่ทันได้สังเกตว่าหมายเลขห้องที่ยืนอยู่นั้นไม่ใช่หนึ่งห้าศูนย์ห้า แต่เป็นหนึ่งห้าศูนย์สี่ห้องฝั่งตรงข้ามต่างหาก
แสงไฟสลัวที่หัวเตียงทำให้พอเห็นทางเดิน เตียงนอนขนาดใหญ่กลางห้องคือที่หมายที่รอคอย เจ้าของสวนหนุ่มถอดเสื้อผ้าออกให้พ้นตัว ก่อนจะแทรกตัวเข้าไปในผ้าห่มผืนใหญ่และหลับสนิทในทันที
"กรี๊ด..."
เสียงกรีดร้องดังลั่นห้อง ปลุกโมกข์ที่กำลังหลับสบายให้รีบลืมตาตื่นขึ้นมาดูว่าเกิดอะไรขึ้น ทันทีที่เจ้าของสวนหนุ่มผุดลุกขึ้นมานั่ง หมอนหนุนใบแรกก็ลอยมากระแทกเข้าให้ที่ข้างแก้มอย่างจัง
"ไอ้บ้า ไอ้ลามก ไอ้คนเลว แกเป็นใคร เข้ามาในห้องฉันทำไม แกข่มขืนฉันใช่ไหม" เสียงต่อว่าต่อขานดังมายาวเหยียด ไม่เปิดโอกาสให้โมกข์ได้พูดอะไรกลับไปสักคำ
สาวน้อยที่ต่อว่าเขายืนตัวสั่นอยู่อีกฟากของเตียง ที่เจ้าหล่อนตัวสั่นไม่ใช่เพราะความกลัวหรือตกใจใดๆ ทั้งสิ้น แต่เพราะความโมโหที่ตื่นมาแล้วพบว่ามีผู้ชายมานอนเปลือยกายร่วมเตียงด้วยต่างหาก
"คุณเป็นใคร" โมกข์เอ่ยถามคำแรก
แม่เจ้าประคุณนี้เข้ามาในห้องเขาได้อย่างไร อย่าบอกนะว่าโรงแรมห้าดาวใจกลางกรุง มีบริการส่งสาวๆ มาให้ถึงห้องเช่นนี้ด้วย
"ฉันควรถามมากกว่านะว่านายเป็นใคร เข้ามาในห้องนี้ตั้งแต่เมื่อไร แล้วนายทำอะไรฉันบ้าง" ดวงตาคู่สวยเจิดจรัสด้วยความโมโห
โมกข์ตั้งสติมอบไปรอบห้อง เสื้อผ้าของเขากองอยู่ที่พื้นห้องด้านที่ตนเองนอน ส่วนผู้หญิงอีกคนมีเพียงผ้าขนหนูพันกายไว้เท่านั้น ชายหนุ่มให้เกียรติด้วยการไม่มองสำรวจต่อไปว่าเรือนร่างนั้นมีอะไรอิ่มล้นหรือเต็มมือขนาดไหน
"ผมมาพักสายตาและกำลังจะกลับแล้ว" ชายหนุ่มหยิบเสื้อผ้าที่กองอยู่กับพื้นขึ้นมาสวมใส่อย่างรวดเร็ว นาฬิกาข้อมือบอกเวลาว่าขณะนี้หกโมงเช้าซึ่งโมกข์ควรจะกลับสวนได้แล้ว
"เดี๋ยวก่อน" เธอร้องเรียกเมื่อเห็นชายหนุ่มแต่งตัวเสร็จ และเตรียมจะออกไปจากห้องโดยไม่ตอบคำถามให้กระจ่างว่าเกิดอะไรขึ้น
"นายเป็นใคร เข้ามาในห้องนี้ตั้งแต่เมื่อไร แล้ว...แล้วนายทำอะไรบ้าง" คนถามหน้าแดงก่ำ
แม้จะไม่อยากรู้ว่าเขาฉวยโอกาสทำอะไรกับเรือนร่างของตนบ้าง แต่เพื่อความปลอดภัยและเตรียมพร้อมที่จะแก้ไขปัญหาที่จะตามมาทีหลัง เธอจึงจำเป็นต้องถามเพื่อให้แน่ใจว่า ต่อไปต้องทำอะไร
"ผมมางานแต่งงานเพื่อนเมื่อคืนนี้ ดื่มกันหนักไปหน่อยก็เลยกลับไม่ไหว เพื่อนผมให้ขึ้นมานอนที่ห้องนี้ แล้วผมก็เข้ามานอน เท่านั้น" โมกข์อธิบายตามความเป็นจริง
ชายหนุ่มมั่นใจว่าเมื่อคืนนี้ไม่มีอะไรเกิดขึ้นแน่ เขาเหนื่อยและฤทธิ์แอลกอฮอล์ในกายทำให้หลับสนิท ไม่มีปัญญาลุกขึ้นมาทำอะไรใครแน่ ที่สำคัญโมกข์ยังไม่รู้เลยว่าในห้องที่นอนนั้นมีใครอยู่ด้วย
"เท่านั้นเหรอ มันจะเท่านั้นได้ไง นายตั้งใจจะมาทำอะไรฉันใช่ไหม บอกมานะ ไม่งั้นฉันจะเรียกตำรวจ"
จะเป็นไปได้อย่างไรในเมื่อประตูห้องปิดสนิท หลังจากที่ผู้จัดการส่วนตัวพาเธอมาหลบสายตานักข่าวจากการกลายร่างเป็นเมรีขี้เมาเมื่อคืนนี้ ผู้ชายคนนี้โกหก เขาต้องเข้ามาด้วยวัตถุประสงค์บางอย่างในตัวเธอ แค่คิดว่าเมื่อคืนนี้ทั้งเธอและเขาตัวเปล่าเล่าเปลือยร่วมกันบนเตียง แล้วอะไรมันจะเกิดขึ้นเล่า ถ้าไม่ใช่...
"ผมพูดความจริง นี่ไง คีย์การ์ดของห้อง ผมควรถามคุณต่างหากว่าเข้ามาทำอะไรในห้องผม หรือว่าบริการ"
สิ้นคำว่าบริการ เสียงกรีดร้องก็ดังลั่นแสบแก้วหูขึ้นมาอีกครั้ง พร้อมทั้งหมอนผ้าห่มสิ่งใดก็แล้วแต่ที่อยู่ใกล้มือเจ้าหล่อน ลอยละลิ่วมาหาโมกข์ในทันทีทันใด พร้อมทั้งคำด่าทอที่เต็มไปด้วยความเกรี้ยวกราดของเธอ
"ไอ้ผู้ชายเฮงซวย ไอ้คนบ้า ไอ้คนลามก กล้าพูดได้ไงว่าฉันขายตัว ฉันไม่ใช่ผู้หญิงอย่างว่านะ ไม่รู้หรือไงว่าฉันคือใคร"
ดวงยิหวาแสนโกรธเมื่อได้ยินคำว่าบริการ ซึ่งแปลความหมายได้ว่าเธอคือผู้หญิงที่ขายเรือนร่าง แต่นั่นไม่โกรธเท่ากับหมอนี่ตาต่ำหรือตาบอดกันแน่ ถึงได้ไม่รู้จักนางเอกคนดังของยุคอย่างเธอ ดวงยิหวา สกุลชาติ
"ผมไม่รู้" โมกข์เอ่ยสั้นๆ เขาไม่รู้จริงๆ ว่าเจ้าหล่อนเป็นใคร มีชื่อเสียงใดในสังคม รู้แต่ว่าตอนนี้หัวใจของชายหนุ่มโหยหาแต่ลูกต้นไม้ที่รออยู่ที่สวนเท่านั้น
"กรี๊ด..."
เสียงกรีดร้องดังขึ้นเป็นหนที่สาม คราวนี้เจ้าหล่อนจะกรีดร้องเรื่องอะไรอีก แต่จะเรื่องอะไรก็ช่าง โมกข์ไม่อยู่ฟังให้เสียสุขภาพจิตแน่ เขาก้าวเดินจนเกือบจะถึงประตูแต่แล้วก็มีใครบางคนเปิดประตูเข้ามาก่อน
"อุ๊ย..."
ร่างสูงที่เพิ่งเปิดประตูเข้ามาอุทานเสียงหวาน รูปร่างที่ล่ำสันสมชายชาตรีแต่โมกข์มองออกว่า แอบซ่อนความเป็นหญิงในหัวใจไว้และเผยออกมาแค่อายไลน์เนอร์ที่ขอบตาเท่านั้น
"พี่เป็ด" ดวงยิหวาร้องเรียกแล้วโผเข้ากอดคนที่เพิ่งเข้ามาทันที
"เขา เขา เขาขืนใจยิหวา เขาล่วงเกินยิหวาค่ะ พี่เป็ด พี่เป็ดต้องช่วยยิหวานะ ยิหวากลัว ยิหวาไม่อยากมีปัญหาอีกแล้ว" เธอร่ำไห้ร้องขอความช่วยเหลือจากหนุ่มหัวใจสาวที่ยืนตกตกลึงกับสิ่งที่เกิดขึ้นตรงหน้า
"น้องยิหวา ใจเย็นๆ ก่อน พูดใหม่อีกทีซิคะ เกิดอะไรขึ้น" สายชลเอ่ยถามเสียงเบา สายตามองมาที่โมกข์อย่างไม่ไว้วางใจ หัวสมองคิดแล้วว่าจะจัดการกับเรื่องที่เกิดขึ้นตอนนี้อย่างไรดี จะทำอย่างไรให้ชื่อเสียงของนางเอกในสังกัดไม่ดับไปเพราะความฉาวชั่วข้ามคืน
"ผู้ชายคนนี้" ดวงยิหวาชี้มาที่โมกข์แล้วพูดต่อว่า
"เข้าห้องมาหายิหวา อยู่กับยิหวาทั้งคืนแล้วก็ แล้วก็..." นางเอกสาวร่ำไห้สะอื้นเสียงดังลั่น สายชลเดาเรื่องต่อจากนั้นได้โดยไม่ต้องมีคำอธิบายใดๆ อีก
คุณพระช่วย ทำไมมันถึงได้เกิดเรื่องแย่ๆ กับนางเอกคนสวยซ้ำแล้วซ้ำเล่าได้นะ
"นายเป็นใคร แล้วเข้ามาในห้องนี้ได้ไง มานี่เลย ห้ามไปไหน มาพูดกันให้รู้เรื่อง" สายชลเริ่มทำหน้าที่ของผู้จัดการที่ดี ด้วยการไปดึงมือของโมกข์ไว้แล้วบังคับไม่ให้เขาไปไหน โดยขู่ว่าจะแจ้งความหากว่าชายหนุ่มก้าวขาออกไปจากห้องนี้แม้แต่ก้าวเดียว
"น้องยิหวาไปแต่งตัวก่อน เดี๋ยวพี่เป็ดเคลียร์ทางนี้เอง เร็วค่ะ เราต้องรีบแล้ว"
ดวงยิหวารีบจัดการตามที่บอก คว้าเสื้อผ้าที่สายชลนำมาให้เปลี่ยนหายเข้าไปในห้องน้ำ ส่วนโมกข์กลายเป็นผู้ต้องหาให้ผู้จัดการคนเก่งสอบสวนหาความจริงในขณะนี้
"นายต้องไม่พูดเรื่องนี้กับใครทั้งนั้น" สายชลพูดแกมสั่ง หลังจากที่สืบสาวราวเรื่องทั้งหมดจนได้ความกระจ่างแล้ว
ที่แท้เมื่อคืนนี้โมกข์เป็นฝ่ายผิดที่เมาจนตาลายและเข้าห้องพักผิด ดีที่เขาง่วงมากและหลับไปโดยไม่ได้สนใจว่าบนเตียงมีใครอีกคนนอนอยู่ด้วยจนกระทั่งเช้า แต่ปัญหาไม่ได้จบลงแค่คำขอโทษจากปากของชายหนุ่ม
"นายต้องสัญญาก่อนว่าจะไม่พูดเรื่อง เอ่อ เรื่องนี้กับใคร แล้วก็ห้ามพูดด้วยว่าเมื่อคืนนี้ฉัน เอ่อ ฉัน เอ่อ เอาเป็นว่าไม่พูดและลืมเรื่องนี้ไปซะ"
"ผมจะไปพูดกับใครได้ คุณไม่ต้องห่วงหรอก ผมรับปากแล้วก็คือรับปาก เรื่องที่เกิดขึ้นในห้องนี้จะไม่มีวันหลุดจากปากผมแน่" โมกข์ยืนยันคำเดิมครั้งที่เท่าไรไม่รู้
เขาระอากับสองคนนี้เหลือเกิน คนหนึ่งก็คาดคั้น อีกคนก็ออกสั่งๆ ทำราวกับว่าโมกข์เป็นเด็กที่พูดไม่รู้เรื่องไปได้ อยากรู้นักใครจะมาสนใจเจ้าหล่อนนักหนา กับแค่การนอนร่วมเตียงกับผู้ชายแปลกหน้าแค่คืนเดียวในโรงแรม โดยไม่มีอะไรบุบสลายแม้แต่ปลายเล็บ ทำไมมันถึงได้เป็นเรื่องใหญ่โตขนาดนี้
"เอาอย่างนี้ดีกว่า" สายชลเปิดกระเป๋าแล้วหยิบสมุดปากกาขึ้นมาเขียน จากนั้นก็ดึงเช็คเงินสดที่เขียนตัวเลขระบุไว้ในนั้นว่า หนึ่งแสนบาท
"นายเอาเงินนี้ไป แล้วเขียนสัญญานี้" เขาฉีกกระดาษแผ่นหนึ่งออกจากสมุดที่อยู่ในกระเป๋า สายชลใช้เวลาไม่ถึงหน้านาทีร่างสัญญาตามใจฉันขึ้นมาส่งให้โมกข์
"อะไรของพวกคุณนักหนาเนี่ย ผมบอกว่าไม่พูดก็คือไม่พูดไง คุณจะกลัวอะไรขนาดนั้น" โมกข์ชักจะอารมณ์เสียแล้ว
"เอาเงินไปแล้วลงชื่อในสัญญาซะ ว่านายจะไม่พูดเรื่องนี้กับใคร ถ้าพูดฉันจะแจ้งตำรวจจับนายเข้าคุกแน่" น้ำเสียงสายชลจริงจังอย่างเห็นได้ชัด แต่โมกข์ไม่เล่นด้วย เขาคืนทั้งเช็คเงินสดและสัญญาบ้าๆ นั่นอย่างไม่ไยดี
"ผมไม่มีเวลามาทำเรื่องบ้าๆ พวกนี้หรอก แล้วทีหลังถ้ากลัวว่าจะเกิดเรื่องแบบนี้อีก ก็ปิดประตูห้องให้เรียบร้อยก่อนนอนไม่ใช่แง้มไว้ให้ใครเข้ามาได้ อ้อ แล้วจำไว้ว่าเป็นสาวเป็นนางมานอนที่อื่น ก็ควรใส่เสื้อผ้าให้เรียบร้อยไม่ใช่นอนแก้ผ้าโล่งโจ้งบนเตียงแบบนี้ ดีนะที่เป็นผม ถ้าเป็นคนอื่นป่านนี้รับรองได้ว่าคุณไม่มีทางได้มานั่งสั่งโน่นสั่งนี้แบบนี้แน่"
โมกข์ไม่สนใจหน้าอินทร์หน้าพรหมที่ไหนทั้งสิ้น หมดเวลาที่เขาจะมานั่งฟังเรื่องไร้สาระของสองคนนี้แล้ว ลูกๆ ต้นไม้และงานในสวนอีกมากรออยู่ ชายหนุ่มลุกขึ้นเดินออกไปจากห้องในทันที
"ไปไม่ได้นะ ฉันสั่งว่าไม่ให้ไปอย่างไรล่ะ" ดวงยิหวาตะโกนลั่นห้อง แต่โมกข์ไม่ฟังซ้ำยังเดินดุ่มๆ ออกไปอีก ในที่สุดนางเอกสาวก็ทนไม่ไหวรีบวิ่งตามชายหนุ่มที่กำลังเปิดประตูห้องออกไป
"นายห้ามไปไหนนะ" เสียงนางเอกสาวดังลั่น
ดวงยิหวาหน้าเสียเมื่อเปิดประตูตามโมกข์ออกมาหน้าห้องแล้วพบว่ามีคนอื่นอยู่ในบริเวณนั้นอีกหลายคน ทุกสายตาหันมาจับจ้องมองเธอเป็นตาเดียวด้วยความตกตะลึง นางเอกสาวขวัญใจประชาชนเกาะแขนเดินออกมากับผู้ชายสองต่อสองในโรงแรมตอนเช้าตรู่ อะไรจะเกิดขึ้นต่อจากนี้...
คอนโดหรูกลางกรุงเทพมหานคร
"เกียรติขา..."
เสียงครางหวานหูดังเป็นระยะอย่างมีความสุข โดยเฉพาะเมื่อเวลาที่เจ้าของชื่อมอบบทรักที่แสนเร้าร้อนถาโถมให้กับคนที่อยู่ใต้ร่าง ก่อนที่เจ้าหล่อนจะอดใจไม่ไหวร้องขอเป็นผู้นำเกมเสน่หานี้เสียเองจนกระทั่ง
"ระ ริน..."
ชายหนุ่มที่ตกเป็นผู้ถูกล่าส่งเสียงครางอย่างมีความสุขตอบโต้ เร่งจังหวะความรุนแรงของสะโพกหนาคืนกลับอย่างเต็มที่ ไม่ช้าทั้งคู่ก็ทะยานขึ้นสู่วิมานฉิมพลีด้วยกันอีกครั้ง
"ที่สุดเลยคุณเนี่ย" สิรินชมอีกฝ่ายด้วยสายตาแห่งความสุข
"รินของผมร้อนแรงเสมอ" คนที่นอนราบพลิกตัวมาเป็นฝ่ายทาบทับบ้าง แววตาแห่งความกระหายปรากฏให้เห็นอยู่เต็มสองตา
"พักบ้างเถอะ เมื่อคืนคุณก็ไม่ยอมนอนทั้งคืนแล้วนะ" สิรินยิ้มหวานแล้วขยับตัวลุกขึ้น ปล่อยให้รักเกียรติได้นอนพักอยู่ข้างๆ อย่างสบายใจ
"กว่าจะมีวันหยุดตรงกันได้ ผมรอรินทุกวินาทีเลยรู้ไหม" เขาออดอ้อน คว้ามือเรียวขึ้นมาจุมพิตเบาๆ
"หยอดอีกแล้ว มิน่าล่ะ สาวๆ ทั่วประเทศถึงได้หลงนักหลงหนา พระเอกหนุ่มรสน้ำผึ้ง" หญิงสาวแกล้งว่า
"รสน้ำผึ้งจริงหรือเปล่า รินเท่านั้นแหล่ะที่ตอบได้" รักเกียรติส่งสายตาหวาน
"ต้องถามดวงยิหวานางเอกคู่ขวัญด้วยหรือเปล่าคะ ว่าหวานรสน้ำผึ้งหรือเปล่า"
"ไม่จำเป็น เพราะมีแค่รินคนเดียวเท่านั้นที่รู้ว่าพระเอกคนนี้หวานรสน้ำผึ้งแค่ไหน"
"พูดแบบนี้ ต้องมีรางวัลไหมคะ" สิรินยิ้มยั่วแล้วเอนตัวลงนอนราบข้างๆ ใช้ปลายนิ้วลูบไล้ไปมาที่เรือนร่างกำยำของชายหนุ่ม
รักเกียรติเป็นพระเอกขวัญใจมหาชนคนทั่วทั้งประเทศ โดยมีคู่ขวัญคือนางเอกดังแห่งยุคดวงยิหวา แต่ใครจะรู้บ้างว่าเบื้องหลังมายาพระนางไม่จำเป็นต้องลงเอยด้วยกันเสมอไป นางร้ายในจอกลับกลายเป็นคู่ขวัญคู่เสน่หาที่พระเอกหนุ่มลุ่มหลงจนต้องหาเวลาว่างจากการทำงานมาอยู่ด้วยกันในคอนโดแห่งนี้เสมอ
รายละเอียด
เสียงเฮฮาแข่งกับจังหวะดนตรีที่ดังกระหึ่มในงานฉลองมงคลสมรสของคู่บ่าวสาว ที่จัดขึ้นในโรงแรมหรูใจกลางกรุงเทพมหานคร โต๊ะในสุดเป็นที่รวมตัวของเหล่าสุภาพบุรุษซึ่งนานทีปีหนจะมาพบหน้ารวมตัวกันครบเช่นนี้
โดยเฉพาะชายหนุ่มที่นั่งอยู่กลางโต๊ะเจ้าของฉายาฤาษีจำศีลด้วยแล้ว นี่ถ้าไม่ใช่งานแต่งงานของเพื่อนรักที่เรียนร่วมรั้วมหาวิทยาลัยเดียวกันแล้วล่ะก็ อย่าหวังว่าจะเห็นพ่อเจ้าประคุณอยู่ท่ามกลางแสงสีเช่นนี้เลย
"เอ้า ดื่มให้กับเพื่อนเราที่กำลังจะมีบ่วงผูกคอเป็นรายล่าสุด ขอต้อนรับสู่สมาคมคนรักเมีย" ทุกคนที่นั่งอยู่ในนั้นพร้อมใจยกแก้วน้ำสีอำพันชูขึ้นเหนือศีรษะ แตะแก้วพร้อมกันเบาๆ จากนั้นก็กลืนมันลงคอด้วยสีหน้ายิ้มแย้มมีความสุข
"เหลืออีกกี่คนวะ ที่ยังไม่มีมอสระเอีย เมีย มานอนกอด" ชายร่างผอมบางเอ่ยถามกลางวง
"เหลือไอ้กร แล้วก็ไอ้ฤาษีของเรา ท่าทางรายหลังนี้จะมีเมียเป็นดอกไม้เสียมากกว่ามั้ง"
ทุกคนพร้อมใจกันหัวเราะลั่น มีเพียงเจ้าของฉายาฤาษีจำศีลเท่านั้นที่อมยิ้มมุมปากเพียงเล็กน้อย ไม่ถือสาหาความกับคำพูดเปรียบเปรยของเพื่อนๆ
"ระวังนะโว้ย เห็นเงียบๆ ทำท่าไม่สนใจผู้หญิงในโลกสักคน ไม่แน่คุณโมกข์ของเราอาจจะคว้านางฟ้าบนสวรรค์มาเป็นเมียหน้าตาเฉยก็ได้"
"พูดเกินไปแล้ว ไอ้กร" โมกข์ส่ายหน้าแล้วยกแก้วน้ำสีอำพันขึ้นจิบอย่างอารมณ์ดี เขายังไม่คิดเรื่องการมีครอบครัว ยังสนุกกับการใช้ชีวิตโสดกับงานปลูกต้นไม้แบบนี้ไปเรื่อยๆ แม้เพื่อนๆ จะทยอยกันไปมีครอบครัวจนเกือบหมด
ทุกคนต่างพูดคุยถามสารทุกข์สุขดิบกันอย่างสนุกสนาน ทุกครั้งที่มีการรวมตัวต่างก็จะมีเรื่องเล่าเกี่ยวกับความเจริญก้าวหน้าในชีวิตส่วนตัวและครอบครัว มาแบ่งปันกันด้วยรอยยิ้มและเสียงหัวเราะที่สนุกสนาน
แน่นอนว่าคนโสดอย่างโมกข์ได้แต่นั่งฟัง อมยิ้มหรือหัวเราะ หรือทำตัวเป็นผู้รับฟังที่ดีแทบทุกครั้ง ประสบการณ์ที่เพื่อนๆ นำมาแบ่งปันทั้งในมุมสุขและมุมทุกข์ ทำให้เรียนรู้ว่าการใช้ชีวิตครอบครัวไม่ใช่ง่ายแต่ก็ไม่ได้ยากเกินไปนัก
"เห็นสาวโต๊ะโน้นไหม มองเอ็งตาเป็นมันเลย" เพื่อนที่นั่งข้างโมกข์ยกแก้วขึ้นทักทาย สาวน้อยใจกล้าในชุดเดรสสีแดงที่ส่งสายตาหาเพื่อนรักมาสักพักหนึ่งแล้ว
"ไม่รู้จะโดนข้อหาพรากผู้เยาว์หรือเปล่า” โมกข์กระซิบกับเพื่อนเบาๆ แล้วเมินหน้าหนีมองไปทางอื่น ปล่อยให้เจ้าเพื่อนตัวดีส่งยิ้มหวานทักทายกลับไปเพียงคนเดียว
“พวกเอ็งจะกลับกันตอนไหน" โมกข์หันมาถามคนอื่นในกลุ่ม
"จะรีบกลับไปไหน ต้นไม้เอ็งไม่หายไปไหนหรอกน่า" เพื่อนคนหนึ่งเอ่ย
ทุกคนในโต๊ะตั้งใจแล้วว่าคืนนี้จะไม่ยอมปล่อยให้ฤาษีโมกข์กลับสวนแต่หัววันแน่ นานๆ เจอกันทีแบบนี้มันต้องมีดวลกันหน่อย ว่าแล้วทุกคนก็พร้อมใจกันชงน้ำสีอำพันแก้วให้พ่อฤาษีต่อ
"พรุ่งนี้ข้ามีงานส่งลูกค้าแต่เช้า พวกเอ็งตามสบายเถอะ" โมกข์ทำท่าจะขอตัวกลับก่อน บ้านสวนของเขาอยู่ไกลจากที่นี่และไม่มีใครกลับทางนั้นด้วย
“จะรีบไปไหน นั่งๆ นานๆ จะมารวมกันที”
โมกข์ถูกดึงตัวไว้ให้นั่งต่อ และสุดท้ายมนต์เจ้าน้ำสีอำพันรวมกับเรื่องสนุกๆ ที่ต่างคนต่างสรรหามาเล่า ก็ทำให้เจ้าของสวนหนุ่มเพลินจนลืมเวลาไปเลยทีเดียว
"มีห้องพักให้ถ้าใครกลับไม่ไหว" เจ้าบ่าวของงานเดินกลับมาหาเพื่อนหลังจากที่ทักทายแขกในงานจนครบ โมกข์รู้สึกมึนเพราะถูกใครต่อใครส่งแก้วให้เพียงคนเดียว ฉายาโมกข์คอทองแดงคงต้องจบลงในคืนนี้เสียแล้ว เมื่อเขาเป็นคนแรกที่เอ่ยปากบอกว่า
"ข้างีบสักชั่วโมงแล้วกัน"
"ข้ากลับดีกว่า / ข้าด้วย" หลายคนทยอยกลับ บางคนที่บ้านไปทางเดียวกันก็ติดรถไปไปด้วย
"อ้าว พวกเอ็งทิ้งไอ้โมกข์นอนคนเดียวได้ไงวะ แบบนี้ของดีที่ข้าเตรียมไว้ให้ไอ้โมกข์ก็ได้ไปกอดคนเดียวซิ" เจ้าบ่าวของงานพูดทีเล่นทีจริง
“อะไรวะ ของดีที่เอ็งเตรียมไว้”
“น่ากลัวว่าจะเป็น...” เสียงหัวเราะลั่นในกลุ่มเมื่อทุกคนมองหน้าและเข้าใจความหมายของคำว่าของดีที่เพื่อนพูดถึง
“คืนนี้สละให้ไอ้โมกข์เถอะ นานๆ ฤาษีจะออกจากป่ามาเชยชมของสวยของงามตามวิถีโลก”
“ไอ้พวกบ้า คิดพิเรนทร์อะไรเนี่ย” โมกข์ส่ายหน้ากับความไม่เข้าท่าของเพื่อน หันไปขอคีย์การ์ดห้องพักเพื่อจะขึ้นไปพักผ่อน ทุกคนร่ำลากันอีกครั้งก่อนจะแยกย้ายกันกลับบ้านใครบ้านมันไป
โมกข์อยากนอนใจจะขาดตาแทบจะลืมไม่ขึ้น ในที่สุดเขาก็มาถึงชั้นสิบห้าห้องหนึ่งห้าศูนย์ห้า แต่พอจะเสียบคีย์การ์ดเพื่อเปิดประตูเข้าไป ชายหนุ่มก็พบว่าประตูเปิดแง้มไว้อยู่ก่อนแล้ว ความง่วงอยากจะนอนเต็มแก่ ทำให้ไม่ทันได้สังเกตว่าหมายเลขห้องที่ยืนอยู่นั้นไม่ใช่หนึ่งห้าศูนย์ห้า แต่เป็นหนึ่งห้าศูนย์สี่ห้องฝั่งตรงข้ามต่างหาก
แสงไฟสลัวที่หัวเตียงทำให้พอเห็นทางเดิน เตียงนอนขนาดใหญ่กลางห้องคือที่หมายที่รอคอย เจ้าของสวนหนุ่มถอดเสื้อผ้าออกให้พ้นตัว ก่อนจะแทรกตัวเข้าไปในผ้าห่มผืนใหญ่และหลับสนิทในทันที
"กรี๊ด..."
เสียงกรีดร้องดังลั่นห้อง ปลุกโมกข์ที่กำลังหลับสบายให้รีบลืมตาตื่นขึ้นมาดูว่าเกิดอะไรขึ้น ทันทีที่เจ้าของสวนหนุ่มผุดลุกขึ้นมานั่ง หมอนหนุนใบแรกก็ลอยมากระแทกเข้าให้ที่ข้างแก้มอย่างจัง
"ไอ้บ้า ไอ้ลามก ไอ้คนเลว แกเป็นใคร เข้ามาในห้องฉันทำไม แกข่มขืนฉันใช่ไหม" เสียงต่อว่าต่อขานดังมายาวเหยียด ไม่เปิดโอกาสให้โมกข์ได้พูดอะไรกลับไปสักคำ
สาวน้อยที่ต่อว่าเขายืนตัวสั่นอยู่อีกฟากของเตียง ที่เจ้าหล่อนตัวสั่นไม่ใช่เพราะความกลัวหรือตกใจใดๆ ทั้งสิ้น แต่เพราะความโมโหที่ตื่นมาแล้วพบว่ามีผู้ชายมานอนเปลือยกายร่วมเตียงด้วยต่างหาก
"คุณเป็นใคร" โมกข์เอ่ยถามคำแรก
แม่เจ้าประคุณนี้เข้ามาในห้องเขาได้อย่างไร อย่าบอกนะว่าโรงแรมห้าดาวใจกลางกรุง มีบริการส่งสาวๆ มาให้ถึงห้องเช่นนี้ด้วย
"ฉันควรถามมากกว่านะว่านายเป็นใคร เข้ามาในห้องนี้ตั้งแต่เมื่อไร แล้วนายทำอะไรฉันบ้าง" ดวงตาคู่สวยเจิดจรัสด้วยความโมโห
โมกข์ตั้งสติมอบไปรอบห้อง เสื้อผ้าของเขากองอยู่ที่พื้นห้องด้านที่ตนเองนอน ส่วนผู้หญิงอีกคนมีเพียงผ้าขนหนูพันกายไว้เท่านั้น ชายหนุ่มให้เกียรติด้วยการไม่มองสำรวจต่อไปว่าเรือนร่างนั้นมีอะไรอิ่มล้นหรือเต็มมือขนาดไหน
"ผมมาพักสายตาและกำลังจะกลับแล้ว" ชายหนุ่มหยิบเสื้อผ้าที่กองอยู่กับพื้นขึ้นมาสวมใส่อย่างรวดเร็ว นาฬิกาข้อมือบอกเวลาว่าขณะนี้หกโมงเช้าซึ่งโมกข์ควรจะกลับสวนได้แล้ว
"เดี๋ยวก่อน" เธอร้องเรียกเมื่อเห็นชายหนุ่มแต่งตัวเสร็จ และเตรียมจะออกไปจากห้องโดยไม่ตอบคำถามให้กระจ่างว่าเกิดอะไรขึ้น
"นายเป็นใคร เข้ามาในห้องนี้ตั้งแต่เมื่อไร แล้ว...แล้วนายทำอะไรบ้าง" คนถามหน้าแดงก่ำ
แม้จะไม่อยากรู้ว่าเขาฉวยโอกาสทำอะไรกับเรือนร่างของตนบ้าง แต่เพื่อความปลอดภัยและเตรียมพร้อมที่จะแก้ไขปัญหาที่จะตามมาทีหลัง เธอจึงจำเป็นต้องถามเพื่อให้แน่ใจว่า ต่อไปต้องทำอะไร
"ผมมางานแต่งงานเพื่อนเมื่อคืนนี้ ดื่มกันหนักไปหน่อยก็เลยกลับไม่ไหว เพื่อนผมให้ขึ้นมานอนที่ห้องนี้ แล้วผมก็เข้ามานอน เท่านั้น" โมกข์อธิบายตามความเป็นจริง
ชายหนุ่มมั่นใจว่าเมื่อคืนนี้ไม่มีอะไรเกิดขึ้นแน่ เขาเหนื่อยและฤทธิ์แอลกอฮอล์ในกายทำให้หลับสนิท ไม่มีปัญญาลุกขึ้นมาทำอะไรใครแน่ ที่สำคัญโมกข์ยังไม่รู้เลยว่าในห้องที่นอนนั้นมีใครอยู่ด้วย
"เท่านั้นเหรอ มันจะเท่านั้นได้ไง นายตั้งใจจะมาทำอะไรฉันใช่ไหม บอกมานะ ไม่งั้นฉันจะเรียกตำรวจ"
จะเป็นไปได้อย่างไรในเมื่อประตูห้องปิดสนิท หลังจากที่ผู้จัดการส่วนตัวพาเธอมาหลบสายตานักข่าวจากการกลายร่างเป็นเมรีขี้เมาเมื่อคืนนี้ ผู้ชายคนนี้โกหก เขาต้องเข้ามาด้วยวัตถุประสงค์บางอย่างในตัวเธอ แค่คิดว่าเมื่อคืนนี้ทั้งเธอและเขาตัวเปล่าเล่าเปลือยร่วมกันบนเตียง แล้วอะไรมันจะเกิดขึ้นเล่า ถ้าไม่ใช่...
"ผมพูดความจริง นี่ไง คีย์การ์ดของห้อง ผมควรถามคุณต่างหากว่าเข้ามาทำอะไรในห้องผม หรือว่าบริการ"
สิ้นคำว่าบริการ เสียงกรีดร้องก็ดังลั่นแสบแก้วหูขึ้นมาอีกครั้ง พร้อมทั้งหมอนผ้าห่มสิ่งใดก็แล้วแต่ที่อยู่ใกล้มือเจ้าหล่อน ลอยละลิ่วมาหาโมกข์ในทันทีทันใด พร้อมทั้งคำด่าทอที่เต็มไปด้วยความเกรี้ยวกราดของเธอ
"ไอ้ผู้ชายเฮงซวย ไอ้คนบ้า ไอ้คนลามก กล้าพูดได้ไงว่าฉันขายตัว ฉันไม่ใช่ผู้หญิงอย่างว่านะ ไม่รู้หรือไงว่าฉันคือใคร"
ดวงยิหวาแสนโกรธเมื่อได้ยินคำว่าบริการ ซึ่งแปลความหมายได้ว่าเธอคือผู้หญิงที่ขายเรือนร่าง แต่นั่นไม่โกรธเท่ากับหมอนี่ตาต่ำหรือตาบอดกันแน่ ถึงได้ไม่รู้จักนางเอกคนดังของยุคอย่างเธอ ดวงยิหวา สกุลชาติ
"ผมไม่รู้" โมกข์เอ่ยสั้นๆ เขาไม่รู้จริงๆ ว่าเจ้าหล่อนเป็นใคร มีชื่อเสียงใดในสังคม รู้แต่ว่าตอนนี้หัวใจของชายหนุ่มโหยหาแต่ลูกต้นไม้ที่รออยู่ที่สวนเท่านั้น
"กรี๊ด..."
เสียงกรีดร้องดังขึ้นเป็นหนที่สาม คราวนี้เจ้าหล่อนจะกรีดร้องเรื่องอะไรอีก แต่จะเรื่องอะไรก็ช่าง โมกข์ไม่อยู่ฟังให้เสียสุขภาพจิตแน่ เขาก้าวเดินจนเกือบจะถึงประตูแต่แล้วก็มีใครบางคนเปิดประตูเข้ามาก่อน
"อุ๊ย..."
ร่างสูงที่เพิ่งเปิดประตูเข้ามาอุทานเสียงหวาน รูปร่างที่ล่ำสันสมชายชาตรีแต่โมกข์มองออกว่า แอบซ่อนความเป็นหญิงในหัวใจไว้และเผยออกมาแค่อายไลน์เนอร์ที่ขอบตาเท่านั้น
"พี่เป็ด" ดวงยิหวาร้องเรียกแล้วโผเข้ากอดคนที่เพิ่งเข้ามาทันที
"เขา เขา เขาขืนใจยิหวา เขาล่วงเกินยิหวาค่ะ พี่เป็ด พี่เป็ดต้องช่วยยิหวานะ ยิหวากลัว ยิหวาไม่อยากมีปัญหาอีกแล้ว" เธอร่ำไห้ร้องขอความช่วยเหลือจากหนุ่มหัวใจสาวที่ยืนตกตกลึงกับสิ่งที่เกิดขึ้นตรงหน้า
"น้องยิหวา ใจเย็นๆ ก่อน พูดใหม่อีกทีซิคะ เกิดอะไรขึ้น" สายชลเอ่ยถามเสียงเบา สายตามองมาที่โมกข์อย่างไม่ไว้วางใจ หัวสมองคิดแล้วว่าจะจัดการกับเรื่องที่เกิดขึ้นตอนนี้อย่างไรดี จะทำอย่างไรให้ชื่อเสียงของนางเอกในสังกัดไม่ดับไปเพราะความฉาวชั่วข้ามคืน
"ผู้ชายคนนี้" ดวงยิหวาชี้มาที่โมกข์แล้วพูดต่อว่า