Fateof Love...พรหมลิขิตแห่งรัก
ประหยัด: 27.09 บาท ( 21.00% )
มีสินค้ามือสองอยู่จำนวน : 1 รายการราคา 50.00 บาท ซื้อสินค้ามือสอง
Quick View
เนื้อหาบางส่วน
บทนำ
'เธอเชื่อเรื่องพรหมลิขิตมั้ย วิลเมอริส’
เสียงหวานใสดังมาพร้อมเสียงลมในยามค่ำคืนที่อากาศรอบกายหนาวเหน็บ ร่างสองร่างที่ด้านบนคือหญิงผู้งดงามจนเกินจะหาคำใดมาบรรยาย หากท่อนล่างกลับมีลักษณะดุจหางปลาที่ประดับด้วยเกล็ดสีพร่างพรายยามต้องกระทบแสงจันทร์นั่งเคียงกันอยู่บนก้อนนํ้าแข็งที่ลอยไปตามกระแสนํ้าอย่างข้าๆ
'ฉันไม่เชื่อแต่หวังได้มั้ย พี่มอร์เวนน่า'
นั่นคือเสียงของเธอ...วิลเมอริส คาแลนด์ธีที่ตอบกลับไปพร้อมด้วยรอยยิ้มที่มีให้มอร์เวน,น่า คาแลนด์ธี พี่สาวที่แก่กว่าเธอเพียงแค่ปีเดียว
'เธอหวังอะไรวิลเมอริส บอกพี่ได้มั้ย'
'ฉันหวัง...'
นัยน์ตาสีเขียวอมฟ้าเงยขึ้นมองจันทราสีเหลืองทองที่ทอแสงกระจ่างอยู่กลางฟ้า รอยยิ้มบางค่อยคลี่แตะริมฝีปาก และแววรำลึกถึงเรื่องราวในอดีตที่เธอไม่มีวันลืมเลือนก็เข้าครอบครองตาคู่งาม
'หวังว่าพรหมลิขิตจะพาใครคนนั้น...คนที่ฉันอยากพบ มาเจอฉันสักครั้ง'
'มาเพื่อให้เธอได้บอกรักเขาล่ะหรือ วิลเมอริส,
พี่สาวเอียงคอถามด้วยรอยยิ้มล้อเลียน หากวิลเมอริสกลับส่ายหน้าปฏิเสธจนเส้นผมหยักศกสีนํ้าตาลอมส้มปลิวสยายดุจสาหร่ายทะเลใต้พื้นนํ้า
'มาเพื่อให้ฉันได้บอกขอบคุณเขาต่างหาก พี่มอร์เวนน่า'
หากเมื่อเวลานั้นมาถึง วิลเมอริสกลับมิได้ทำเพียงแค่ขอบคุณ...
ตระกูลคาแลนด์ธีเป็นชาวน้ำที่ปกครองชนเผ่าซึ่งอาศัยอยู่ในมหาสมุทรเฟเชียเรลที่ตั้งอยู่ตอนเหนือสุดของหนึ่งในสามดินแดนบนโลกใบนี้..ดินแดนปีศาจ ยามเมื่อยืนทอดสายตามองไปยังทิศเหนือของมหาสมุทรจะเห็นเพียงน้ำทะเลสีครามกลืนไปกับปลายขอบฟ้าซึ่งไล่ระดับความอ่อนจางจนกลายเป็นสีเดียวกัน มีหลายคนเคยพยายามดั้นด้นไปยังที่สุดเขตแดนมหาสมุทรทางด้านเหนือ หากสิ่งที่ได้รับกลับมามีเพียงแค่ความล้มเหลวและความว่างเปล่า ดินแดนทางตอนเหนือของเฟเชียเรลจึงยังคงเป็นความลับที่ถูกเก็บเอาไว้ ณ ที่สุดปลายขอบโลกจนกระทั่งถึงทุกวันนี้
ในขณะที่ทิศใต้ของเฟเชียเรลมีอาณาเขตที่แบ่งแยกอย่างเห็นได้ชัด ด้วยมีส่วนที่ต่อเชื่อมติดอยู่กับเมืองโฟร์ริส.เมืองแห่งหิมะและน้ำแข็ง ซึ่งถูกปกครองด้วยตระกูลนาดาสมาช้านานพอๆ กับที่ชาวนํ้าตระกูลคาแลนด์ธีครอบครองมหาสมุทรเฟเชียเรล
ทั้งตระกูลคาแลนด์ธีและตระกูลนาดาลต่างก็มีเรื่องบาดหมางกันมาเนิ่นนาน จนกระทั่งในตอนนี้ทุกคนต่างลืมเลือนไปหมดแล้วว่าสาเหตุที่แท้จริงของการผิดใจคืออะไร ทว่าสิงที่เหลืออยู่ก็ยังคงมีเช่นเดิม นั่นก็คือความเกลียดแค้นชิงชังที่ฝังลึกลงในสายเลือดของคนทั้งสองตระกูล
แต่ตามปกติแล้วตระกูลคาแลนด์ธีกับตระกูลนาดาสไม่ได้ก่อเรื่องราวทะเลาะเบาะแว้งอะไรเป็นประจำนัก เพราะต่างฝ่ายก็ต่างครอบครองพื้นที่ของตัวเองอย่างชัดเจน ไม่มีการล่วงลํ้าซึ่งกันและกัน ทว่ามันก็เหมือนกับเป็นคำสาปที่ทุกๆ ห้าสิบปี ร้อยปี หรืออาจจะสองร้อยปี ไม่ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง จะต้องเผลอไปทำให้อีกฝ่ายไม่พอใจ แค้นเคือง และยกพวกมาต่อสู้กัน เหมือนอย่างเรื่องราวที่เกิดขึ้นเมื่อเร็วๆ นี้ และเป็นต้นเหตุที่ทำให้วิลเมอริส คาแลนด์ธี ธิดาคนที่เจ็ดของเวค คาแลนด์ธี ผู้ครอบครองเฟเชียเรลต้องจากบ้านไปไกล
...เพราะสิ่งที่เธอกระทำต่อคนที่รอคอยการพบกันอีกครั้งมิใช่,เพียงแค่คำขอบคุณ หากเธอทำ...ในสิ่งที่ตระกูลคาแลนด์ธีต่างลงความเห็นว่ามันคือการ 'ทรยศ, ต่อชาวน้ำทุกคน แล้วคนบนฟ้าก็เริ่มลิขิตขีดเส้นแห่งโชคชะตาให้เธอเริ่มเดิน
...จากท้องทะเลสู่เมืองที่ปกคลุมไปด้วยหิมะและน้ำแข็ง แล้วสายลมก็พัดพาเธอลงไปทางทิศใต้ใจกลางดินแดนปีศาจอันเป็นสถานที่ตั้งของปราสาทคลอเดอเบล
...แล้วโชคชะตาก็ทำให้เธอได้รู้สึก 'รัก, หากมิยอมปล่อยให้เธอได้ครอบครอง และทำให้เธอต้องฝืนใจจากมา เพื่อหวนคืนสู่ดินแดนที่เธอถือกำเนิด...ดินแดนแห่งห้องทะเล...มหาสมุทรเฟเชียเรล
...เป็นอีกครั้งแล้วที่คนเบื้องบนกำลังลิขิตหนทางให้เธอเลือกเดิน..
บทที่ 1
...อีกแล้ว
วิลเมอริสบอกกับตัวเอง เมื่อสัมผัสได้ถึงพลังบางอย่างที่เคลื่อนไหวอยู่ไม่ห่างออกไปนัก นับตั้งแต่ย่างเท้าเข้ายังเขตเมืองโฟร์ริสที่เชื่อมต่อระหว่างแผ่นดินตอนกลางของแดนปีศาจกับมหาสมุทรเฟเชียเรล เธอก็รับรู้ถึงสัมผัสนั้นได้ชัดขึ้นมากกว่าเดิม
หญิงสาวจำไม่ได้ว่าเมื่อไหร่กันที่เริ่มรับรู้ว่ามีใครบางคนกำลังลอบติดตามเธออยู่ เพราะเมื่อรู้สึกตัวอีกที เธอก็สัมผัสได้ถึงการมีตัวตนของคนผู้นั้นแล้ว ความรู้สึกแรกที่เธอมีก็คือความหวั่นกลัว ด้วยไม่รู้ว่าผู้ที่ติดตามเธอมาหมายจะเอาชีวิตของเธอหรือเปล่า ทว่าเมื่อไม่มีอะไรร้ายแรงเกิดขึ้นอย่างที่เธอนึกกลัว วิลเมอริสก็พอจะวางใจลงได้บ้างว่าใครคนนั้นคงไม่ได้หมายคิดร้ายต่อเธอ ดังนั้นความสงสัยจึงเป็นความรู้สึกที่ตามมาเมื่อความหวาดกลัวหมดไป
...อาจเป็นท่านเซียร์
นั้นคือสิ่งที่ผุดขึ้นมาที่กลางใจเธอในครั้งแรก แต่เมื่อคำนึงถึงความจริงที่ว่าข้างตัวของเขาคนนั้นมีใครอื่นที่ไม่ใช่เธออยู่ด้วย หญิงสาวก็ปล่อยให้ความคิดนั่นมลายหายไปกับความจริงที่เธอรับรู้ได้เต็มหัวใจ
...เขาไม่ได้รักเธอ
แม้ว่าเขาจะห่วงใยจนถึงขั้นยอมถอดแหวนออกจากนิ้วของตนเองแล้วร้อยสร้อยเส้นบางก่อนจะสวมมันลงบนลำคอของเธอ ทว่าความห่วงใยก็มิอาจใช่รักที่เธอหมายครอง และนั่นก็คือข้อยืนยันว่าไม่ใช่เขาแน่ๆ ที่คอยเฝ้าติดตามเธอมาเช่นนี้
มีหลายครั้งที่วิลเมอริสพยายามเสาะหาว่าใครกันคือคนที่ตามเธออยู่ แต่ก็ราวกับว่าใครคนนั้นกำลังเล่นซ่อนหากับเธอ เพราะไม่ว่าครั้งใดที่เธอตั้งใจค้นหา เธอก็กลับพบเพียงความว่างเปล่าและความเงียบสงัดที่ห้อมล้อมกายเธอไว้ในดินแดนอันหนาวเหน็บที่ปกคลุมไปด้วยน้ำแข็งและหิมะพร่างพราย
ในที่สุดวิลเมอริสก็ตัดสินใจได้ หากคนผู้นั้นไม่ประสงค์จะปรากฏกายออกมาเจอกัน เธอก็ไม่ควรบังคับใจเขาหรือเธอ สู้ให้ติดตามกันมาห่างๆ แบบนี้ ส่งพลังมาให้ได้สัมผัสและรับรู้ว่าไม่ใช่มีเพียงเธอคนเดียวเท่านั้นที่อยู่บนโลกที่ทั้งเงียบเหงาอ้างว้างและแสนเยียบเย็น...ขอเพียงเท่านี้ก็พอ
...ทว่าวันนี้กลับไม่เหมือนทุกครั้ง
เพราะวันนี้เธอรับรู้พลังนั้นได้ถึงห้าครั้งเข้าไปแล้ว นับตั้งแต่เช้าที่เพิ่งเริ่มเดินทาง จนกระทั่งหยุดพักในเวิ้งถํ้าที่ถูกเจาะลึกเข้าไปในภูเขาซึ่งปกคลุมไปด้วยหิมะและน้ำแข็งอันเย็นเยียบ
พลันสัมผัสถึงพลังที่ผ่านมาบ่อยครั้งในช่วงวันนี้ก็เหมือนจะไปกระตุ้นความทรงจำของเธอให้จดจำเรื่องราวบางอย่างขึ้นมาได้
...ในถ้ำที่ทั้งมืดสนิทและชื้นจัดเต็มไปด้วยหินงอกหินย้อยมากมายที่ดูราวกับเป็นซี่กรงกักขังเธอไว้จากโลกภายนอก มีเพียงความหวาดกลัวเท่านั้นที่ลอยวนเวียนอยู่ทั้งภายในใจและรอบกายเธอ
...ไม่!!
วิลเมอริสส่ายหน้าไล่ความรู้สึกที่ก่อความพรั่นพรึงในหัวใจ ท่อนแขนเรียวยกขึ้นกอดตัวเองไว้เพื่อบรรเทาความหนาวเหน็บที่พลันจู่โจมขึ้นมา
...หรือจะเป็นเขา...
'เขา, ที่คิดถึงปรากฏกายออกมาในห้วงความคิดอย่างรวดเร็ว ชายร่างสูงเจ้าของรอยยิ้มที่ดูราวกับจะเยาะหยันโลกอยู่ตลอดเวลา ดวงตาสีทรายที่เหลืออยู่เพียงข้างเดียวจ้องเขม็งมายังเธอด้วยสายตาที่อ่านความรู้สึกไม่ออก
...เอทล์ มาทธัน ไม่จริง ต้องไม่ใช่เขา!!
เธอปฏิเสธกับตัวเองอย่างหนักแน่นแล้วปัดภาพของชายคนนั้นให้หลุดหายออกจากความคิดอย่างยากลำบาก น่าแปลกที่เธอเจอเขาและได้อยู่ร่วมกันไม่นาน หากทั้งรูปลักษณ์และการกระทำของเขากลับฝังลึกลงในใจจนเห็นเป็นภาพชัดเจนเช่นนี้
...อาจจะเป็นท่านเวนย์ ใช่ บางทีอาจจะเป็นเขา
วิลเมอริสดึงอีกหนทางที่เป็นไปได้ให้เข้ามาครอบครองความคิด แม้ส่วนลึกในใจจะปฏิเสธข้อสันนิษฐานนั้น ด้วยเธอรู้จักชายผู้เป็นเจ้าของปราสาทโรวอลล์เป็นอย่างดี
เวนย์ โรวอลล์ เขาไม่ใช่คนที่จะมาทำพฤติกรรมเช่นนี้ ด้วยท่านเวนย์ เป็นคนเปิดเผย คิดอย่างไรก็พูดออกมา และกระทำเช่นนั้น ถ้าหากเป็นเขาที่ลอบตามเธอมาจริง ท่านเวนย์ก็คงจะปรากฏตัวให้เธอเห็นเสียตั้งแต่วันแรกแล้ว ไม่ใช่มาติดตามกันเงียบๆ เช่นนี้แล้วแอบแฝงตัวตนเอาไว้
วิลเมอริสหลับตาลงเพื่อหวังจะหยุดความคิดที่สร้างความว้าวุ่นให้สมองและหัวใจ ทั้งยังได้แต่เฝ้าภาวนาให้ใครคนนั้นที่ลอบตามเธอมาไม่ใช่ผู้ชายคนที่เธอไม่อยากเจอมากที่สุดบนโลกใบนี้
...เอทล์ มาทธัน
...ท่านจ้าวปีศาจ ฉันภาวนาต่อท่านได้มั้ยคะ หากยังเมตตาฉันอยู่บ้าง ก็ขออย่าให้เป็นเขาเลยที่ตามฉันมา เพราะหัวใจของฉันคงมิอาจทนรับไหว ถ้าได้เห็นเขาผู้มิใบหน้าเหมือนกับคนที่กุมหัวใจท่านไว้ และฉีกกระชากหัวใจของฉันให้แหลกสลายไม่มีชิ้นดีอย่างที่กำลังเป็น
...ฉันขอภาวนา
วิลเมอริสตัดสินใจไม่เลือกเส้นทางที่ใกล้ที่สุดเพื่อใช้เดินทางไปยังเฟเชียเรล ด้วยว่าเส้นทางนั้นจะต้องตัดผ่านเข้ากลางเมืองโฟร์ริส ซึ่งเธอรู้ดีว่าคงมีอันตรายต่อชาวน้ำเช่นเธอรออยู่ และอีกเหตุผลหนึ่งที่เธอบอกให้ตัวเองรู้เพียงคนเดียว นั่นก็คือเธอไม่อยากเจอคนในตระกูลนาดาส โดยเฉพาะอย่างยิ่งเขา...เร็กซ์ นาดาส
แม้วิลเมอริสจะไม่รู้ว่าตอนนี้เร็กซ์อยู่ที่โฟร์ริสหรือที่อื่นกันแน่ แต่เธอก็ไม่อยากเสี่ยงเจอเขา ด้วยยังจำได้ดีว่าเมอร์ซี กราเชล คนรักของชายหนุ่มผู้มีพระคุณต่อเธอคนนั้นเป็นคนขี้หึงอย่างร้ายกาจมากเพียงไหน ดังนั้น วิลเมอริสจึงตัดสินใจเลือกเส้นทางที่แม้จะอ้อมไปสักนิด หากก็มั่นใจว่าคงจะปลอดภัยต่อทั้งร่างกายและจิตใจเธอได้มากกว่าเส้นทางอื่น
พลันใบหน้าคมคายที่มีรอยยิ้มอ่อนโยนของเร็กซ์ก็ปรากฏขึ้นมาในความคิด วิลเมอริสอดยิ้มไม่ได้เมื่อนึกถึงเขาคนนั้น หากมีสิ่งใดที่ทำให้เธอจดจำเกี่ยวกับตัวเขาได้มากที่สุด ก็คงจะเป็นรอยยิ้มอ่อนโยนแสนสุภาพที่มีต่อเธอเสมอ รวมทั้งแววตาอันอ่อนหวานของเขาที่ทอดมองไปยังหญิงสาวอีกคน...เมอร์ซี
วิลเมอริสคลายยิ้มเศร้าให้กับตัวเองเมื่อหวนคิดถึงเรื่องราวในอดีต ในตอนนั้นเธอคิดว่าตนเจ็บอยู่ไม่น้อยในเรื่องที่เกิดขึ้น ทว่าพอมาเจอเหตุการณ์ที่เพิ่งผ่านมาเมื่อเร็วๆ นี้ เธอก็พบว่าเรื่องของเร็กซ์กลายเป็นเพียงแค่คลื่นลูกเล็กๆ ที่โยกไหวไปมาในมหาสมุทรอันกว้างใหญ่แห่งเฟเชียเรล ที่เตือนให้เธอรู้ว่ากำลังจะเจอกับพายุแห่งความเจ็บปวดที่เกิดจากชายอีกคน
มือบางเอื้อมแตะแหวนวงน้อยที่แขวนอยู่ตรงตำแหน่งหัวใจ ก่อนจะยิ้มออกมาอย่างปวดร้าว ด้วยยังไม่อาจทำใจให้ลืมผู้เป็นเจ้าของแหวนได้
...ยังไม่ลืมเลยนะคะท่านเซียร์ ทั้งความรู้สึกที่ว่า 'รัก' ท่านมากเพียง ใด และความรู้สึกที่ว่า 'เจ็บ' มากเพียงใดที่ท่าน...ไม่รัก
หญิงสาวสูดลมหายใจเข้าลึก ก่อนจะตัดใจปล่อยมือออกจากแหวนวงนั้นที่ผู้เป็นเจ้าของมิได้ให้เพื่อแทนหัวใจ หากให้เพื่อแทนคำสัญญาว่าจะปกป้องเธอให้พ้นจากภยันตรายตามประสา...เพื่อน
...ไม่เป็นไรค่ะท่านเชียร์ ฉันจะเข้มแข็ง จะไม่อ่อนแออีก แม้ความ
(ติดตามอ่านต่อได้ในฉบับเต็ม)