Aus-Boy พิชิตรักร้ายล่าหัวใจยัยจอมดื้อ

0 รีวิว  0 รีวิว    
รหัสสินค้า: -
ผู้แต่ง: may112
ของหมด (ต้องการสินค้า)
ราคา: 139.00 บาท 34.75 บาท
ประหยัด: 104.25 บาท ( 75.00% )

เนื้อหาบางส่วน

Tell him that you love him.

You’ve got nothing to lose,

You’ll always regret it if you don’t.

บอกเขาสิว่าเธอรักเขา

เธอไม่มีอะไรต้องเสีย

แต่เธอจะเสียใจถ้าไม่ได้พูดออกมา

 

บทนำ

 

                 “Haaa haa! I can’t believe.”

                “You win!”

                “Yep, she got it!”

                เสียงโหวกเหวกของกลุ่มวัยรุ่นที่นั่งถัดไปจากฉันสามแถวดังลั่นไปทั้งห้องรับรองผู้โดยสาร ฉันคิดว่าพวกเขาน่าจะเป็นคณะนักเรียนที่มาทัศนศึกษาอะไรทำนองนั้น หญิงวัยกลางคนผมสีทองที่น่าจะเป็นคุณครูของพวกเขาส่งสายตาดุๆ ไปเตือนให้เงียบเสียงลง แต่อีกพักเดียวพวกเขาก็เริ่มหัวเราะและส่งเสียงดังเจี๊ยวจ๊าวขึ้นมาใหม่ ฉันเห็นสาวๆ นั่งตักแฟนตัวเอง ลูบไล้ และมองตากันอย่างรักใคร่ บางคู่ก็จูบกันนัวเนีย เอ่อ...มันแปลกสำหรับฉันมากทีเดียวล่ะ พอคิดว่าพวกเขาอายุไล่เลี่ยกับฉันแต่สามารถทำอะไรแบบนี้โดยไม่แคร์สายตาใครๆ ได้ อา...ใช่แล้ว นี่คงเป็นเรื่องธรรมดาๆ สำหรับที่นี่ล่ะมั้ง โลกใหม่ที่สามารถแสดงความรักได้อย่างอิสรเสรี

                ฉันคงต้องปรับตัวให้ชินกับภาพเหล่านี้...ก็ต้องอยู่ไปอีกหนึ่งปีนี่นา

                “เธอจ้องเรามาตั้งนานแล้ว มีอะไรเหรอ”

                อุ๊บ! ตายแล้ว

                “เอ่อ ขอโทษค่ะ”

                ฉันเอ่ยอย่างรวดเร็วพลางรู้สึกกระดากอายที่ไปจ้องพวกเขาจูบกันดูดดื่มอย่างเสียมารยาท

                “-_-“

                สาวผมแดงมองกลับมาด้วยสายตาคลางแคลงใจอีกนิดหน่อย เธอยักไหล่แสดงความไม่ยี่หระ แล้วก็หันลับไปมองแฟนหนุ่มตัวเอง ฉันถอนหายใจอย่างโล่งอกที่ไม่ถูกเอาเรื่อง พยายามทำเป็นหันไปสนใจอย่างอื่นแทน แต่เสียงด๊วบๆ จ๊วบๆ ของคู่รักวัยรุ่นนี่ทำให้ฉันรู้สึกอึดอัดชะมัด พวกเขากำลังดูดดื่มกันอยู่ตรงหน้าฉัน

                ละ...แล้วแบบนี้ฉันจะไม่มองไปทางพวกเขาได้ยังไงล่ะ

                ฉันตัดสินใจลุกจากที่นั่งแล้วเดินดูร้านขายของใน Duty Free แทน ยังพอมีเวลาอีกเกือบสามสิบนาทีกว่าเครื่องบินจะบินต่อไปยังเมืองบริสเบน แนเดินผ่านร้านขายของต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นเครื่องสำอาง น้ำหอม เสื้อผ้า และกระเป๋าแบรนด์เนมต่างๆ จนะกระทั่งมาหยุดอยู่ที่ร้านหนังสือขนาดใหญ่ ภายในจอแจไปด้วยลูกค้ามากหน้าหลายตา ที่หมวดหนังสือแนะนำฉันเลือกหยิบหนังสือนิยายแวมไพร์ขายดีที่ถูกนำมาสร้างเป็นภาพยนตร์แล้วสิบแปดภาค แต่พอฉันพลิกดูราคาที่ปกหลัง

                เฮือกกกก... ฉันวางมันลงที่เดิมทันใด

                ความจริงที่ฉันตระหนักได้ตั้งแต่ย่างก้าวเข้ามาประเทศนี้คือของทุกอย่างราคาแพงมากๆ พอคำนวณเป็นเงินไทยออกมาแล้ว ฉันต้องวางแผนการใช้จ่ายอย่างระมัดระวังเลยทีเดียว ถ้าไม่อยากหมดเนื้อหมดตัวตั้งแต่เดือนแรกที่มาถึงน่ะนะ ฉันเดินไปรอบๆ ร้านจนกระทั่งสังเกตเห็นมุมเล็กๆ ที่มีแผงลอยตั้งขายโปสการ์ดมากมาย สิ่งนี้ล่ะที่กระตุ้นให้ฉันเดินเข้าไปหยิบมันขึ้นมาดูอย่างไม่ลังเล

                ฉันเป็นนักสะสมโปสการ์ดตัวยงเลยล่ะ ฉันมีเพื่อนเป็นชาวออสเตรเลียอยู่คนหนึ่ง แต่เราไม่เคยเห็นหน้ากันหรอกนะ เราเป็นเพื่อนกันทางจดหมาย ไม่สิ! ต้องเรียกว่าเพื่อนทางโปสการ์ดมากกว่า เรารู้จักกันผ่านเว็บไซต์แลกเปลี่ยนโปสการ์ดแห่งหนึ่ง ฉันเขียนส่งไป เขาก็เขียนกลับมา เราแลกเปลี่ยนโปสการ์ดกันมาเรื่อยๆ จนนี่ก็เข้าสู่ปีที่ห้าแล้ว (นานเหมือนกันแฮะ) ฉันคิดว่าตัวเองส่งโปสการ์รูปสถานที่ท่องเที่ยวของแต่ละจังหวัดในประเทศไทยให้เขาเกือบครบแล้วนะ และครั้งล่าสุดฉันก็ส่งโปสการ์ดไปบอกเขาว่า

                ฉันสอบผ่านและได้ทุนแลกเปลี่ยนมาประเทศออสเตรเลีย!

                และที่น่าประหลาดสุดๆ คือฉันกำลังจะไปอยู่เมืองลิสมอร์ รัฐนิวเซาธ์เวลส์ซึ่งเป็นรัฐเดียวกับที่เขาอยู่

                อะไรก็เป็นไปได้แฮะ คนที่เคยอยู่ห่างกันเป็นทวีป เป็นหมื่นเป็นพันกิโลเมตร อยู่ดีๆ ก็ได้มาอยู่ประเทสเดียวกัน แถมรัฐเดียวกันอีกต่างหาก แต่ฉันคิดว่าคงไม่ได้เจอเขาหรอก เพราะว่าเราอยู่คนละเมืองกันน่ะ บางทีมันอาจจะไกลกันประมาณร้อยกิโลก็เป็นไปได้ และฉันก็ไม่ได้มีความคิดที่จะต้องเจอเขาให้ได้ ที่เราทำอยู่มันก็ดีพอแล้ว...

                ในที่สุดฉันจ่ายเงินหนึ่งดอลลาร์เป็นค่าโปสการ์ดรูปโอเปร่าเฮ้าส์หนึ่งใบ โชคดีมากๆ ที่ร้านนี้มีตู้ไปรษณีย์ ฉันเลยตัดสินใจจะเขียนหา ‘เอ็น’ (N.) หรือ (Nic) ว่าตอนนี้ฉันอยู่ออสเตรเลียแล้ว ณ เวลาที่เขียนอยู่นี้ฉันอยู่ในช่วงเครื่องบินหยุดพักที่สนามบินซิดนีย์ เสียดายจังที่ฉันออกไปเที่ยวด้านนอกไม่ได้ (ฉันยังไม่ผ่านด่านตรวจคนเข้าเมือง) และถ้าฉันได้ที่อยู่ของโฮมสเตย์ที่จะไปพักด้วยเมื่อไหร่ ฉันจะรีบเขียนไปบอกเขาทันที

                “ฮายยย”

                ฉันรู้สึกว่าเสียงมันดังใกล้ฉันมากๆ แต่ใครจะมาทักฉัน ในเมื่อฉันมาหัวเดียวกระเทียมลีบ เขาคงเรียกคนอื่นๆ ในร้านล่ะมั้ง

                “ฮายยย”

                ฉันก้มหน้าก้มตาเขียนโปสการ์ต่อไป ฉันจำที่อยู่ของนิกส์ได้แม่นเชียวล่ะ เพราะฉันเขียนไปหาเขามาตั้งเกือบห้าปีแล้วนี่นา

                เป๊าะ!

                “เฮ้! เธอไม่ได้ยินฉันเหรอ”

                “อ๊ะ!”

                ฉันสะดุ้งนิดหน่อยเมื่อได้ยินเสียงใครสักคนมาดีดนิ้วดังเป๊าะที่ข้างหู ฉันเงยหน้าขึ้นมา ภาพตรงหน้าคือผู้ชายตาสีฟ้าสดใส รูปหน้าของเขาสวยเหมือนนายแบบในร้านขายน้ำหอมที่ฉันเพิ่งเดินผ่านเมื่อกี้เลย ผมสีบรอนซ์หม่นๆ คล้ายสีควันบุหรี่ถูกจัดทรงแบบยุ่งๆ ดวงตาคู่นั้นจ้องฉันด้วยแววขบขันนิดหน่อย ที่มุมปากมีรอยยิ้มจางๆ เล็กน้อย

                “ขอโทษที ฉันเรียกเธอตั้งหลายครั้งแล้ว แต่เธอไม่ยอมตอบอะไรเลย”

                เขาอธิบายช้าๆ โชคดีที่สำเนียงเขาฟังง่ายเหลือเกินทำให้ฉันเข้าใจสิ่งที่เขาพูดได้โดยไม่ยากเย็นนัก

                เอ๊ะ! เฮ้ย เขาพูดกับฉันงั้นเหรอ กับฉันเนี่ยนะ!

                ฉันมองไปรอบๆ อีกครั้ง แต่ตรงนี้ไม่มีใครอยู่เลย

                “ฉันคุยกับเธอนั่นแหละ”

                “ฉัน?” ฉันชี้ที่ตัวเอง เขายิ้มเล็กๆ แล้วก็พยักหน้าตอบ

                กรรมเลย! เขากำลังคุยกับฉัน แต่ฉันจะตอบเขายังไงดีล่ะ เฮ้อ...นี่ล่ะคือความกังวลขั้นสูงสุดในการมาออสเตรเลีย การพูดนี่มันไม่ใช่เรื่องง่ายๆ เลยนะ จริงอยู่ที่ฉันมีคะแนนภาษาอังกฤษดีเลิศพอสำหรับการเป็นนักเรียนทุนแลกเปลี่ยน ฉันพอมีทักษะด้านการอ่าน การเขียน และการฟังอีกนิดหน่อยเท่านั้นเอง แต่สิ่งเหล่านี้ใครๆ ก็มีได้ถ้าตั้งใจเรียนและหมั่นศึกษาแกรมม่าอย่างสม่ำเสมอ ไม่ก็ดูหนังหรือฟังเพลงฝรั่งบ่อยๆ

                แต่...การพูดนี่ฉันจะไปฝึกกับใครล่ะ ในชีวิตประจำวันแทบไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกับภาษาอังกฤษเลยสักนิด หรือจะให้พูดกับแม่ค้าในร้านอาหารตามสั่ง ฉันว่าคงได้ตะหลิวร้อนๆ ประทับหน้าแหงๆ

                “ฉันอยากให้เธอช่วยอะไรสักหน่อย”

                “ฉัน...ระ...เหรอ”

                “ไม่ต้องกังวล คนอื่นจะเห็นเหมือนว่าเราเป็นแบบนั้นจริงๆ แต่...แน่นอนว่ามันไม่ใช่”

                “หา?”

                ฉันไม่เข้าสักนิดว่าเขาพูดเรื่องอะไร เขาจะให้ฉันช่วยอะไรกันแน่ ฉันพยายามรวบรวมคำพูด แต่...

                วืบบบ

                ฉันถูกดึงเข้าไปประชิดตัวเขา ฉันเคยคิดว่าตัวเองเป็นผู้หญิงที่ตัวสูงมากๆ เพราะตั้งแต่ฉันเรียนหนังสือมา ไม่ว่าจะอยู่ระดับชั้นไหน เวลาที่คุณครูสั่งให้เข้าแถวเรียงจากต่ำไปสูง ฉันมักจะได้ยินอยู่ด้านหลังของแถวนักเรียนเสมอๆ แม้แต่เพื่อนผู้ชายวัยเดียวกันที่สูงกว่าฉันยังมีแค่ไม่กี่คนเท่านั้นเอง

                แต่พอมายืนอยู่กับผู้ชายตาฟ้าคนนี้แล้ว เป็นครั้งแรกที่ฉันต้องแหงนหน้าคุยกับคนอื่น

                “คะ...คุณจะทำอะไรน่ะ”

                “มันเป็นแค่เกม ช่วยฉันหน่อยนะ ฉันแพ้ไม่ได้เด็ดขาดเลยงานนี้”

                แพ้แล้วมาเกี่ยวอะไรกับฉันล่ะ

                พอจบประโยคเขาก็เลื่อนหน้าเข้ามาใกล้ฉันอย่างรวดเร็ว ฉันตกใจตาค้างทำอะไรไม่ถูก รู้สึกถึงลมหายใจของฝ่ายตรงข้ามที่เป่ารดเบาๆ ที่ข้างแก้ม ใบหน้าเขายังเข้ามาใกล้เรื่อยๆ ใกล้จน...

                “ดอมินิก!”

                ฉันผงะถอยหลังออกมาเมื่อได้ยินเสียงแหลมกรีดร้อง เจ้าของเสียงคือสาวผมสีน้ำตาลเข้ม เธอยืนจ้องพวกเราด้วยความโกรธจัด สายตาที่เธอจ้องมาน่ากลัวจนฉันไม่กล้ามองเธอกลับ

                เธอต้องเป็นแฟนของเขาแน่เลย

                “ไง เวเนเชีย”

                นายตาฟ้าทักทายเธออย่างสบายๆ ราวกับอีกฝ่ายไม่ได้อยู่ในอารมณ์ใกล้ระเบิดเลยสักนิด ช่วยทำอะไรสักอย่างสิ เธอจะระเบิดสนามบินแล้วนะ

                “เหอะ! นายกำลังทำอะไรน่ะ แค่ฉันไม่อยู่แวบเดียว นายก็ทำแบบนี้งั้นเหรอ!”

                “ใจเย็นหน่อย! ฉันแค่กำลังเล่นเกม truth or dare เท่านั้นเอง”

                “นายเลยต้องมาจูบยัยหน้าด้านนี่ใช่มั้ย!”

                เธอตะโกนด้วยความโกรธชนิดหัวฟัดหัวเหวี่ยงพร้อมกับชี้นิ้วมาที่ฉัน คราวนี้ทุกคนโดยรอบหันมาจ้องฉันเป็นตาเดียว ฉะ...ฉันไม่ใช่ยัยหน้าด้านนะ ฉันไม่ได้ยุ่งกับแฟนของเธอเลยด้วย ถึงฉันจะเถียงแบบนี้อยู่ในใจ แต่ปากฉันไม่ได้ขยับสักนิดเดียว โดยปกติฉันก็ไม่ใช่คนพูดเก่งอยู่แล้ว แล้วนี่ต้องพูดออกมาเป็นภาษาอังกฤษอีก ฮือออ นี่ไม่ใช่สถานการณ์ที่ฉันชอบเลยนะ!

                “มันก็แค่เกมนี่ อย่าซีเรียสไปน่า”

                “เกมงั้นเหรอ!”

                เธอขึ้นเสียงสูงแล้วก็หันมามองฉันด้วยสายตาโกรธแค้น ฉันยืนเป็นเบื้อกลายเป็นครกกับสากอย่างทำอะไรไม่ถูก วันหลังฉันจะไม่คุยกับคนแปลกหน้าอีกแล้ว ถึงจะหล่อแค่ไหนก็ตาม

                “พอก่อนน่าเว ค่อยคุยกันทีหลัง คนมองเต็มไปหมดแล้ว”

                “ปล่อยมือฉัน! บอกให้ปล่อยไงดอม!”

                เธอตวาดดังลั่นเมื่อหนุ่มตาฟ้าเดินเข้าไปจูงมือเธอออกมาจากร้านหนังสือ แต่เธอสะบัดมือเขาแล้วก็จ้องฉันด้วยแววตาเอาเรื่อง ฉันน่าจะพูดอะไรสักอย่าง อะไรดีล่ะ! อย่างเช่นว่า ฉะ...ฉันไม่ได้กิ๊กกั๊กอะไรกับแฟนของเธอเลยแม้แต่นิดเดียว เรายังไม่ได้จะ...จูบกันอะไรแบบนั้นเลยนะ ไม่มีเลย! ไม่ได้จูบจริงๆ นะ

                “เฮ้! ขอโทษด้วยนะ”

                นายตาฟ้าหันกลับมาบอกฉัน เขายิ้มให้ฉันนิดๆ แต่ฉันกลับรู้สึกเสียวสันหลังวาบแทนที่จะรู้สึกดีกับรอยยิ้มน่ารักของเขา

                “ยัยสำส่อน! มีคนประเภทนี้อยู่บนโลกด้วยงั้นเรอะ ถึงได้ยอมให้ใครมาจูบปากโสโครกของแกน่ะหา? ฉันจะตบแก ยัยสารเลว...ยัย...”

                ฉันตัวแข็งทื่อ มองสาวผมน้ำตาลสบถถ้อยคำหยาบคายที่แปลไม่ออก พร้อมกับพุ่งกระโจนเข้ามาหาราวกับจะต้องตบฉันให้ตายให้จงได้ โชคดีที่ก่อนเธอจะทะยานมาถึงหนังหัวของฉัน นายตาฟ้าก็คว้าตัวเธอไว้ได้ทัน

                “หน้าไม่อาย! ยัยชั่ว”

                อีกนิดเดียวมือเธอจะถึงหัวฉันอยู่แล้ว

                “พอน่าเว! ไม่อายเขาหรือไง เอ่อ...ขอโทษด้วยจริงๆ นะ”

                “ไม่อาย! ปล่อยฉันนะ! ฉันจะไปตบมัน!”

                ทำไมผู้หญิงคนนี้ต้องเคียดแค้นฉันขนาดนี้ด้วย ฉันไม่ได้จูบกับเขาสักหน่อย

                แล้วฉันจะมายืนล่อเป้ารอให้หญิงอำมหิตคนนี้มากระทืบฉันทำไมเนี่ย

                “ผู้โดยสารที่จะบินต่อไปยังเมืองบริสเบน สายการบิน...”

                ตึกๆๆๆ

                “เดี๋ยว เธอ...เธอ!”

                ฉันไม่ยอมหันกลับไปตามเสียงที่ดังมาจากด้านหลัง ไม่สนใจอะไรทั้งสิ้น รีบสาวเท้าตรงไปที่ประตูขึ้นเครื่องโดยไว ขอให้ตลอดหนึ่งปีที่ฉันอยู่ที่นี่...อย่าได้ต้องพบต้องเจอเรื่องแบบนี้อีกเลย

 

1

ครอบครัวใหม่

New Family

 

                Brisbane, Australia

                ฉันเข็นรถเข็นที่ใส่กระเป๋าใบใหญ่ออกมาพร้อมกับกวาดสายตามองหาแผ่นป้ายกระดาษที่เขียนชื่อตัวเองจากกลุ่มคนที่มายืนรอรับผู้โดยสารที่สนามบิน เสียงพูดคุยดังจอแจไปทั่วทั้งสนามบิน คนที่ได้เจอครอบครัวแล้วก็พากันโอบกอดอย่างรักใคร่ พ่อแม่ลูก เพื่อนฝูง กระทั่งหนุ่มสาวหลั่งน้ำตา เมื่อได้กลับมาเจอคนรักอีกครั้ง ฉันหยุดมองภาพเหล่านั้นโดยไม่รู้ตัวครั้งแล้วครั้งเล่า ฉันชอบที่จะได้เห็นภาพที่อบอุ่นเช่นนี้จัง

                “นั่นไงคุณ เด็กสาวคนนั้น! ใช่มิชาหรือเปล่า”

                “ไหนคะเวนส์ คนนั้นเหรอ!”

                สามีภรรยาอายุราวสี่สิบกว่าๆ คู่หนึ่งเดินพุ่งตรงมาที่ฉัน ผู้ชายรูปร่าง


รีวิว (0)


สินค้าที่ใกล้เคียง (73 รายการ)

www.batorastore.com © 2024